การสนับสนุนของที่บ้านและงานอาสาในชีวิตประจำวัน
พูด
ถึงที่บ้านให้ฟังว่า ตอนไปทำจิตอาสาที่โรงพยาบาลเด็ก
กลับมาก็เล่าให้คุณตาฟัง คุณตาก็บอกด้วยความเป็นห่วงหลานว่า
ไปทำไมเดี๋ยวจะไปติดเชื้อเอา เรายังดูแลตัวเองไม่ได้เลย
แตงโมก็บอกว่าเต็มใจช่วยเขา ไม่เป็นไรหรอก
ส่วนคุณพ่อและคุณแม่ซึ่งมีอาชีพรับราชการกลับบอกว่าดีแล้วที่ได้ไปช่วยเหลือ
เรามีโอกาสมากกว่าควรจะช่วยเหลือเขา แต่การออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านอย่างนี้
พ่อแม่ก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยมากเหมือนกัน
พูด
ถึงกิจกรรมจิตอาสานี้ มีโอกาสให้ทำในชีวิตประจำวัน
แตงโมเล่าว่าตอนที่เขาจัดงานวันพ่อที่ถนนราชดำเนิน (ช่วงต้นเดือนธันวาคม
2552) มีซุ้มของกระทรวงการคลัง
กลุ่มของน้องๆโรงเรียนสายน้ำผึ้งเดินผ่านซุ้มก็ถูกเรียกไปช่วยขายของ
ตอนแรกก็ไม่กล้า แต่เมื่อมีพี่คนหนึ่งขอร้อง
ก็เลยช่วยถือป้ายเชิญชวนให้ประชาชนให้มาซื้อของ ตั้งแต่ 4
ทุ่มจนถึงเที่ยงคืน
ประสบการณ์และความประทับใจ
แตงโมบอกว่า
ประทับใจที่ได้ไปสอนน้องวาดรูป
ตอนนั้นตัวเองวาดรูปส่วนเพื่อนคนอื่นไปเล่นคอมเล่นลูกโป่งกับน้อง
เมื่อมีน้องๆเข้ามาถามว่าพี่วาดอะไรสอนให้หนูวาดหน่อย
แค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว เราอาจจะให้ความสุขเขาไป
เขาอาจไม่สุขเท่ากับที่เราตั้งใจให้ก็ได้ เราอาจไม่ได้ความสุขกลับมาเต็มร้อยเหมือนที่ให้เขาไป แต่ก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองจากการได้แบ่งปัน ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้นจาก
เดิมที่เป็นคนใจร้อนมากๆ
การมาทำงานแบบนี้ได้มีโอกาสฝึกตัวเองว่าต้องใจเย็นไว้
อย่างเช่นตอนชวนน้องเล่น ตอนแรกน้องเขาเงียบไม่พูดอะไร ชวนเล่นก็ไม่พูด
เราก็ต้องใจเย็นๆ มีสติมากขึ้น อย่างเช่น น้องจุรินทร์
ตอนแรกเข้าไปเขาจะเงียบๆ พอเราทำโน่นทำนี่ เช่น วาดรูป
เขาก็จะสนใจและเริ่มพูดมากขึ้น เหมือนเขาไว้ใจเรา
หรืออย่างกรณีน้องออมที่เพิ่งผ่าตัดหลังมา มีครั้งหนึ่งที่เขาตกเก้าอี้
รู้สึกว่าน้องเขาเจ็บ แต่เราเองกลับตกใจและรู้สึกสงสารน้องเขามาก
เหมือนเจ็บแทน
อะไรที่ได้เรียนรู้มากขึ้น
แตงโมบอกว่าได้เรียนรู้เยอะอธิบายไม่ถูก แต่สามารถยกตัวอย่างให้ฟังได้จากการสังเกตตัวเองที่มีความเป็นระเบียบและละเอียดลออมากขึ้นแต่
ก่อนถูกที่บ้านดุเอาบ่อยว่าหัดมีความละเอียดลออบ้างสิ
การไปทำกิจกรรมจิตอาสาในโรงพยาบาลทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งเล็กๆน้อยๆ เช่น
ต้องเก็บของให้น้อง ทั้งๆที่บ้านเราไม่รู้จักการเก็บข้าวของให้เรียบร้อยเลย
นอกจากนี้ทักษะอื่นๆ เช่น ได้เรียนรู้การพับกระดาษ จากที่ไม่เป็นเลย
ก็ได้ฝึกหัดและเรียนรู้ที่จะเอามาใช้ประโยชน์
การไปสัมผัสประสบการณ์ในโรงพยาบาล
โดยเฉพาะตอนที่น้องต้องเข้าผ่าตัดหลังและพักฟื้น แตงโมก็พยายามให้น้องนั่ง
ให้น้องเดิน (ไม่นอนกับที่อย่างเดียว)
ระหว่างเดินก็ช่วยถือถุงน้ำเกลือให้ด้วย
ทำให้แตงโอยากเรียนรู้และฝึกหัดการดูแลคนป่วยเพิ่มมากขึ้น เช่น
ช่วยพยาบาลทำแผลให้น้องๆ
ตัวเองเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
แตงโมบอกว่า
ตัวเองนอกจากรู้จักการให้มากขึ้นเช่นเดียวกับเบล ก็มีการแบ่งเวลา
มีสมุดบันทึกเวลา เพราะเป็นคนขี้ลืมจึงต้องจดไว้ทุกอย่าง
จากนิสัยที่เป็นคนอยากเอาชนะ จะทำก็จะทำให้ได้อยู่แล้ว
การมาทำจิตอาสายิ่งทำให้แตงโมมีแรงกระตุ้นมากขึ้น
มีการวางแผนการเรียนโดยติวการสอบวาดภาพเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย
ทำให้เวลาว่างน้อยลง แต่ถ้าเราแบ่งเวลาไว้แล้ว
เมื่อเห็นว่าว่างก็จะไปโรงพยาบาลเลยทันที แต่ถ้าไม่ว่างก็ต้องทำใจไม่ไป
แม้ใจจะอยากก็ตาม เพราะแตงโมคิดว่าการเรียนก็สำคัญที่สุด
การ
จัดการเวลาของแตงโม มีตัวอย่างคือเวลาครูให้งานหรือการบ้านก็จะทำทันที
ทำให้เรามีเวลาไปทำอย่างอื่นมากขึ้น
เวลาที่แบ่งไปทำกิจกรรมจิตอาสานั้นคุ้มค่า เพราะเราได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์
ได้แบ่งปันให้ความสุขให้น้องๆที่โรงพยาบาลเด็ก
ได้ใช้ความสามารถและจุดเด่นในการวาดภาพของตัวเองไปสอนวาดภาพให้น้อง
ทำให้แตงโมเข้าใจน้องมากขึ้น เพราะภาพช่วยสื่อความรู้สึก เช่น ความเครียด
ความกดดันที่น้องได้รับอยู่
จิตอาสากับวัยรุ่น
แตงโม คิดว่าจิตอาสากับวัยรุ่นเป็นแบบกึ่งๆ จะเกี่ยวหรือก็ได้ไม่เกี่ยวข้องก็ได้ บางคนอาจชอบบางคนอาจไม่ชอบก็ได้ วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งอาจคิดเรื่องแฟน แต่วัยรุ่นอีกกลุ่มหนึ่งอาจคิดถึงความสุขคนอื่นแต่วัยรุ่นส่วนนี้ไม่ค่อยคิดเรื่อง (จิตอาสา) นี้กัน