“หนังสือเล่มแรก” สะพานความรู้สื่อความรักสายใยครอบครัว

การสร้างนิสัยรักการอ่านตั้งแต่เยาว์วัยเป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องให้ความสำคัญ ด้วยสังคมแห่งการอ่านจะทำให้คนมีทั้งความรู้ ความคิด รู้จักคิดวิเคราะห์ปัญหา และเติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพในที่สุด นี่เอง...จึงทำให้มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็กเพื่อทำเรื่องนี้ ภายใต้โครงการหนังสือเล่มแรก หรือ Bookstart เพราะหนังสือคือสื่อสร้างสรรค์ที่จะเปิดโลกแห่งจินตนาการและความรู้

­

เรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป หรือ “พี่ปอง” กรรมการผู้จัดการมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก เล่าว่า มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่เกิดจากกลุ่มคนไทยซึ่งตระหนักถึงความสำคัญของการอ่านหนังสือจึงได้ปวารณาตนเพื่อ “นำหนังสือสู่เด็ก นำเด็กสู่หนังสือ” โดยก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2544 ดำเนินกิจกรรมรณรงค์หลายรูปแบบเพื่อให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของการอ่าน ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนรักการอ่าน และส่งเสริมให้มีการผลิตหนังสือเด็กและเยาวชนที่มีคุณภาพด้วยการพัฒนานักเขียน นักแปล และนักวาดภาพประกอบของไทย รวมทั้งสนับสนุนการก่อตั้งห้องสมุดเด็กและกิจกรรมในห้องสมุด

­

โครงการหนังสือเล่มแรก คือกิจกรรมสำคัญในการนำหนังสือสู่เด็ก นำเด็กสู่หนังสือ เกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษ มีผลสำเร็จเกิดขึ้นมากมาย เช่น เด็กๆ ที่เข้าร่วมโครงการมีความสามารถในการอ่านเขียนและคิดคำนวณสูงกว่าเด็กทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังพบว่าเด็กๆ ที่ได้รับหนังสือภาพตั้งแต่วัยทารกแสดงความสนใจในการอ่านสูงกว่าเด็กนอกโครงการถึง 3 เท่าหลังจากได้รับหนังสือเล่มแรกเป็นเวลา 2 ปี

­

ที่สำคัญ…โครงการนี้ช่วยสานสายใยรักในครอบครัว ทำให้พ่อแม่ลูกมีความสัมพันธ์กันแนบแน่นอบอุ่นยิ่งขึ้น เนื่องจากการเลี้ยงลูกด้วยหนังสือไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อสอนให้ลูกอ่านหนังสือออกเพียงอย่างเดียว แต่จุดประสงค์สำคัญที่สุดคือ การให้พ่อแม่ลูกมีความสุขกับหนังสือร่วมกันนั่นเอง

­

มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็กจึงริเริ่มโครงการนี้ในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2546 เพื่อส่งเสริมให้พ่อ แม่ ลูก และผู้ดูแลเด็กในครอบครัวมีความสุขร่วมกัน โดยมี “หนังสือ”เป็นเครื่องมือในการพัฒนาเด็กและสานสัมพันธ์ที่อบอุ่นในครอบครัว ด้วยการจัดทำถุงหนังสือเล่มแรกที่มีหนังสือเหมาะสมกับเด็กวัย 6 เดือนมอบให้พ่อแม่และผู้ดูแลเด็ก นำไปอ่านให้เด็กฟังทุกวัน ถือเป็นเครื่องมือในการสร้างนิสัยรักการอ่านในเด็ก ด้วยความหวังว่า “หนังสือ” น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ครอบครัวใช้เป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงชีวิตจริงกับจินตนาการ นำไปสู่การสร้างรากฐานชีวิตที่สำคัญของเด็ก ให้สามารถเรียนรู้การดำรงชีวิตอยู่ในสังคม ที่เปลี่ยนแปลงอย่างเข้มแข็งและมีความสุข

­

ชุดถุงหนังสือเล่มแรก จะประกอบด้วยหนังสือหลายเล่ม ที่คัดสรรแล้วว่าเหมาะสมกับเด็กในแต่ละวัย เช่น หนังสือภาพ“น้องหมีเล่นกับพ่อ” ซึ่งเป็นหนังสือชุดที่เหมาะสำหรับเด็กวัยก่อนอนุบาลและวัยอนุบาล เนื่องจากเด็กวัยนี้จะแฝงด้วยอารมณ์ขันและมีจินตนาการสร้างสรรค์ เนื่องจากสามารถตอบสนองความต้องการของเด็กทุกคนซึ่งชอบเล่นกับพ่อ เพราะเล่นได้สนุกและตื่นเต้นกว่าแม่ เด็กจะรู้สึกอบอุ่น ในชุดถุงหนังสือเล่มแรก ยังมีหนังสือภาพ “คู่มือพ่อแม่ หนูชอบหนังสือ” ซึ่งจะบอกกับพ่อแม่ว่า หนังสือมีสำคัญเท่ากับเป็นอาหารมื้อหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นอาหารเสริมแต่ก็เป็นอาหารที่ควรจะได้กินทุกวัน “พ่อแม่มักอ้างเหตุว่างานยุ่ง เหนื่อย งานเยอะ แต่ลูกหลายคนต้องการถามว่า พ่อ แม่ รู้หรือเปล่าว่าลูกกับงานอะไรสำคัญกว่ากัน อันนี้เป็นตัวสะกิดให้พ่อแม่เห็นความสำคัญของการอ่านหนังสือให้ลูกฟัง”

­

พี่ปอง เล่าว่า เมื่อนำหนังสือไปแจกให้กับพ่อแม่แล้ว ยังมีการแนะนำเทคนิคและวิธีการอ่านหนังสือแบบตัวต่อตัวด้วยถึงกระบวนการที่จะทำให้พ่อแม่ลูกสนุกไปด้วยกันในโลกของหนังสือ ที่จะอ่านเมื่อไรก็ได้ ที่ไหนก็ได้ อ่านได้ทุกเวลาทุกสถานที่อย่างไม่จำกัด พ่อแม่อาจจะมีการออกเสียงสูงๆต่ำๆหรือเน้นเสียงเน้นคำตามเนื้อเรื่องในหนังสือและตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติให้ลูกเกิดความสนใจในหนังสือ หรือมีการสร้างบรรยากาศในบ้านให้เอื้อต่อการอ่านหนังสือร่วมกันของ พ่อ แม่ลูก หาช่วงเวลาที่ชื่นชอบของครอบครัวให้เป็นเวลาที่พ่อแม่ได้อุ้มลูก นั่งตักแล้วสื่อรักด้วยหนังสือ

­

เสร็จแล้วมีการ “เยี่ยมบ้าน” ครอบครัวที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อสังเกตและศึกษารายละเอียดของครอบครัวและพฤติกรรมของพ่อแม่ในการใช้หนังสือกับเด็กนำไปสู่การพัฒนากระบวนการเพื่อแนะนำการใช้หนังสือที่เหมาะกับบุคลิกภาพของพ่อแม่และเด็กแต่ละคนในแต่ละครอบครัว ทำให้โครงการหนังสือเล่มแรกประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจคือ สามารถสร้างเครือข่ายครอบครัวอ่านหนังสือได้ถึง 2,526 ครอบครัว ในพื้นที่ดำเนินการ 11 จังหวัด คือ จังหวัดยะลา สงขลา นครราชสีมา ราชบุรี นครศรีธรรมราช เลย เชียงใหม่ ระยอง นครปฐม ปทุมธานี และกรุงเทพมหานคร

­

มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็กมุ่งมั่นทำงานเพื่อให้เห็นว่า “หนังสือ”เป็นช่องทางหนึ่งที่จะช่วยให้พ่อแม่ลูกมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และเด็กจะคิดถึงความรักความห่วงใยของพ่อแม่ที่มีให้เสมอ ซึ่งจากการเฝ้าติดตามเด็กๆที่เข้าร่วมในโครงการหนังสือเล่มแรกพบว่า เด็กๆกลุ่มนี้เมื่อเข้าโรงเรียนจะไม่ร้องไห้งอแงเหมือนเด็กกลุ่มอื่น เนื่องจากได้รับการเตรียมความพร้อมจากการซึมซับในการอ่านหนังสือ ถูกตัวละครในหนังสืออธิบายให้ฟังว่า เมื่อมาโรงเรียนต้องทำอย่างไรบ้าง

­

“พ่อแม่พูดเองว่า ต้องสอนลูกเหนื่อยมาก ให้แปรงฟัน อาบน้ำ หรืออยากให้มีพฤติกรรมบางอย่างที่พ่อแม่อยากให้ทำ แต่เมื่อนำหนังสือเรื่อง คุณฟองนักแปรงฟัน มาเล่าให้ลูกฟัง การแปรงฟันก็เป็นเรื่องสนุกที่เด็กๆอยากทำ หรือหนังสือเรื่อง หนูนิดไม่กินผัก เด็กๆฟังแล้วก็จะอยากจะกินผักเหมือนหนูนิด การกินผักจึงเป็นเรื่องง่าย ตัวละครในหนังสือ จึงเป็นตัวสร้างพฤติกรรมของเด็กๆได้ดีมาก” พี่ปองย้ำว่า อยากให้พ่อแม่ทุกคนเห็นความสำคัญของการอ่านหนังสือให้ลูกฟัง การเลี้ยงลูกด้วยหนังสือตั้งแต่วัยเยาว์ โดยใช้เวลาเพียง 5-15 นาทีในแต่ละวัน จะทำให้ลูกเจริญเติบโตขึ้นพร้อมกับความรู้สึกที่ว่า หนังสือ คือ สิ่งที่น่าสนใจและมีคุณค่า”

­

มาโนช อุบลฟ้า คุณพ่อของ “น้องใบตอง” วัย 1 ปี 4 เดือน เล่าว่า ตอนลูกอายุ 8 เดือนได้ชุดถุงหนังสือมาอ่านให้ลูกฟัง ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าอยากให้ลูกรู้หนังสือ ก็อ่านไปเรื่อยๆ สังเกตเห็นว่าลูกชอบตั้งแต่อ่านให้ฟังวันแรกๆ หลังจากนั้นก็อ่านให้ฟังตลอด โดยอ่านเรื่องน้องหมีเล่นกับพ่อตลอด 3-4 เดือนจนหนังสือขาดหมดแล้ว อ่านไปก็จะทำท่าให้พ่อเล่นเหมือนน้องหมีเล่นกับพ่อ ทุกวันตอน 1 ทุ่ม จะเป็นเวลาที่พ่อแม่ลูกอ่านหนังสือด้วยกันไม่ดูโทรทัศน์ ความสัมพันธ์ในบ้านดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ลูกคนเล็กจะใกล้ชิดกับพ่อแม่มากกว่าลูกสองคนแรก เพราะมีเวลาอ่านหนังสือด้วยกันทุกวัน ลูกสองคนแรกไม่เคยมีบรรยากาศอย่างนี้ อยากมีเวลาทำเช่นนี้บ่อยๆ เพราะรู้สึกดีมากๆ รู้สึกถึงความเป็นครอบครัวจริงๆ และจะทำอย่างนี้ต่อไปจนลูกโต หวังว่าเมื่อได้ใช้หนังสือกับลูกตั้งแต่ยังเล็ก ลูกจะสนิทกับพ่อแม่มาก ถ้าสนิทกับพ่อแม่แล้วลูกจะ “เสียหายได้ยาก” อีกทั้งหนังสือแต่ละเล่มก็ล้วนมีคำสอนให้คิดดี ทำดีทั้งนั้น

­

หนังสือ จึงเป็นเครื่องมือที่มีความหมาย ดังที่ ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี เขียนไว้ในหนังสือ “เอาลูกรักคืนมา” ว่า...

­

...ถ้าพ่อแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังก่อนนอน หรือเมื่อมีเวลาว่างจะเป็นประโยชน์หลายอย่าง เพราะเด็กชอบฟังนิทานต่างๆที่สนุก เขาจะได้ยินเสียงของพ่อแม่คนที่เขารู้ว่ารักเขามากที่สุด พ่อแม่เองก็มีความสุข

­

การอ่านเรื่องที่สนุกให้ลูกฟังประจำทุกคืน ลูกจะหลับไปอย่างมีความสุข ซึ่งนอกจากจะกระตุ้นสมองให้เจริญเติบโตแล้วที่สำคัญตอนหลังเด็กจะอ่านเองเพราะเกิดความเคยชินจากที่พ่อแม่อ่านให้ฟังอยู่เสมอๆจนกลายเป็นนิสัยรักการอ่าน

­

การสร้างให้เด็กรักการอ่านหนังสือ มีความสุขอยู่กับการอ่านหนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อ แม่ ผู้ปกครองไม่ควรจะมองข้าม! เพราะจะช่วยสร้างบรรยากาศแห่ง “รัก” ให้อบอวลในครอบครัวยิ่งขึ้น.

­