มีสัญญาณบางอย่างที่ทำให้ชาวบ้านโคกเพชร ในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลสลักไดเห็นว่าอาชีพการทำกบยัดไส้สมุนไพรของของชุมชนที่ทำต่อเนื่องกันมากว่า 100 ปี มีแนวโน้มหายไป
เหตุผลแค่ 3 อย่างก็เพียงพอที่จะทำให้ชาวบ้านโคกเพชร และทีมเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลสลักได อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ มาทำวิจัยโครงการวิจัยกระบวนการเรียนรู้ภูมิปัญญาอาหารพื้นถิ่น เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน กรณีศึกษา: กบยัดไส้บ้านโคกเพชร หมู่ที่ 14 และบ้านโคกกระชาย หมู่ที่ 13 ตำบลสลักได อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิสยามกัมมาจล และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น)
กบหายไปไหน?
ในตำบลสลักได อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ประกอบด้วย 16 หมู่บ้าน แต่ละบ้านต่างประกอบอาชีพที่หลากหลาย บางหมู่บ้านเลี้ยววัววากิวเนื้ออร่อย แต่ที่โคกเพชรหมู่ 14 และ และบ้านโคกกระชายหมู่ 13 เลือกที่จะเลี้ยงกบ
“ตอนนี้ผมอายุ 74 ถ้าทำมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ก็น่าจะราว ๆ 100 ปีได้ เมื่อก่อนขายไม้ละ 50 สตางค์ ตอนนี้เป็นไม้ 15-20 บาทแล้วแต่ขนาด ทำไม่เคยหยุด ทำตลอด ยกเว้นแต่หากบไม่ได้”
ลุงนนยังบอกอีกว่า ที่มาของกบยัดไส้เมนูยอดฮิตของคนสุรินทร์ นั้น เริ่มมาจากการลองผิดลองถูกการทำกับข้าวของคนสมัยก่อน
“เคยถามแม่ แกบอกว่า เริ่มต้นจากหมกฮวก หรือหมกลูกอ๊อดผสมเครื่องสมุนไพร แล้วเอาใบตองห่อ ห่อแล้วก็ย่าง พอย่างได้กลิ่นหอมอร่อย และช่วงนั้นแถวบ้านเรากบเยอะ เดินไปไหนมาไหนก็เจอ ก็คิดว่าถ้าเอาตัวนี้มายัดไส้กบคงจะอร่อย ก็ทดลอง พออร่อยก็ทำกินกันมาเรื่อย”
ไม่ว่าขอสันนิษฐานของลุงนนจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม แต่นับจากนั้นเป็นต้นมา “กบยัดไส้” ของแท้จากบ้านโคกเพชรก็ถูกทำออกไปจำหน่ายให้คนนอกชุมชนได้ลิ่มลองรสชาต จากทำกินเองในครัวเรือน ขยับมาทำขาย จาก 1 ครัวเรือนที่ทำกบยัดไส้ ก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นการทำกันทั้งหมู่บ้าน เนื่องจากกบยัดไส้บ้านโคกเพชร ขึ้นชื้อในเรื่องรสชาติ เพราะใช้เนื้อกบล้วน ๆ ผสมกับสมุนไพรไร้สารเคมี เมื่อกิจการดี ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภค ทางฝั่งผู้ผลิตก็ต้องเร่งผลิตให้ทันตามความต้องการของลูกค้า
เมื่อคนทำเพิ่มจำนวนขึ้น แต่วัตถุดิบคือ “กบ” มีจำนวนเท่าเดิม ซ้ำการทำเกษตระบบใหม่ก็เร่งให้กบธรรมชาติหายากยิ่งขึ้นไปอีก
“เมื่อก่อนเราจะหากบได้ตามทุ่งนา หนองน้ำ ในป่า บางทีก็หาได้แถว ๆ บ้านตอนฝนตกหนัก ๆ” ลุงนนบอกพร้อม ๆ กับตั้งข้อสังเกตว่า
“พอเราเปลี่ยนจากนาดำเป็นนาหว่าน เราก็ไม่สามารถลงไปจับกบในนาได้ และการทำนาสมัยนนี้ก็ใส่สารเคมีเยอะ กบมันก็วางไข่ในนาไม่ได้อีกเหมือนกัน และพวกที่อยู่ในป่าตามแอ่งน้ำ แต่ก่อนก็มีเยอะ พอต้นไม้ถูกตัดเยอะ ๆ มันก็ไม่มีแอ่งน้ำให้กบได้วางไข่อีกเหมือนกัน แต่ก่อนมีแหล่งน้ำตามป่าตามคันนา เวลาฝนตกมา กบก็จะไปไข่ในแหล่งน้ำธรรมชาติ แต่ทุกวันนี้หมดแล้ว ไม่มี มีแต่สระใหญ่ ๆ กบก็ไม่ไข่ น้ำเก่าไม่ไข่ ต้องมีฝนตก น้ำใหม่ ถึงจะไข่ได้ ทุกวันนี้ก็เลยหายไปหมด กบไม่มีที่วางไข่”
ลุงนน ทีมวิจัยชาวบ้านจากโครงการยังวิเคราะห์ต่อไปว่า
“แต่ก่อนมีหลุมมีอะไรที่ตามควายนอน ทุกวันนี้ไม่มีแล้วเพราะว่ามีหลุมนิดก็เอารถไปเกลี่ยให้มันเสมอกันขึ้นมา ตามทุ่งนาก็เหมือนกัน เวลากบจำศีล เอารถไถไปพรวนดิน กบตายหมด และเดี๋ยวนี้พวกลูกอ๊อด เมื่อหายากก็ขายดี ทุกวันนี้ ลูกอ๊อดโล 200 บาท แย่งกันซื้อ”
เมื่อกบในธรรมชาติหายาก หรือ “หาไม่ได้อีกแล้ว” ทางออกของชาวบ้านมีอยู่ 2 ทางเลือกที่จะทำให้อาชีพดั้งเดิมของชุมชนยงคงอยู่ต่อไปคือ “เลี้ยง” และ “ซื้อ” จากประเทศกัมพูชา
“ของเราเริ่มเลี้ยงกันจริง ๆ จัง ๆ เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้เอง ต่างคนต่างเลี้ยงไป ไม่ได้ดูต้นทุน ไม่ได้ดูอะไร จะตายก็ตายไป จริง ๆ แล้วกบเลี้ยงยากนะ มันขี้ตกใจ พอช่วงหลัง ๆ บางคนก็ตายหมด บางคนก็ตายครึ่งนึง บางคนก็รอดทั้งหมด” พ่อสำเนียงบอก
ในแง่การซื้อ หรือนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน กนกพร ศรีมาลา ทีมวิจัยการเลี้ยงกบ บอกว่า ไม่ค่อยมีปัญหามากนัก เพราะหาซื้อได้ตลอดปี แต่ราคาจะสูงกว่าปกติ
“กัมพูชาขายให้เรากิโลกรัมละ 70 – 80 บาท หรือ 100 บาท เวลาซื้อก็ต้องซื้อทีละมาก ๆ เพราะจะได้คุ้มค่าการขนส่งซึ่งน้ำหนักที่ดีที่สุดคือ 13 ตัว หรือ 15 ตัว/ 1 กิโลกรัม คนที่มาทำขาย ถ้าได้จำนวนตัวน้อย เขาก็ได้แค่ 10 กว่าไม้ มันก็ไม่คุ้ม ถ้าเอากบเขมรมา ก็ได้ 30 ไม้ 10 กิโล จะได้ 130 หรือ 150 ไม้ ถ้ากบเลี้ยงจะได้แค่ 110 ไม้ มันก็ลดไปประมาณ 30 , 40 ไม้ ซึ่งมันก็ไม่คุ้ม พอเป็นแบบนี้ เราก็พยายายามเลี้ยงเองด้วย หลายบ้านเลี้ยงเอง รอดบ้าง ตายบ้าง เพราะกบเลี้ยงยาก”