การเรียนรู้ผ่านโครงการเพื่อชุมชน (PBL) เพื่อพัฒนาทักษะอ่านออกเขียนได้ โรงเรียนวัดท้ายยอ จังหวัดสงขลา ปี5

เรียนรู้ความเป็นครูจากห้องเรียน (จริง)

โครงการพี่อาสาพาน้องอ่านเขียน

ความซับซ้อนที่มากขึ้นในสังคมปัจจุบัน ทำให้คนรุ่นใหม่ต้องมีทักษะในการแก้ปัญหาที่หลากหลายตามไปด้วย หนึ่งในทักษะที่น่าสนใจสำหรับผู้คนศตวรรษที่ 21 คือ “Collaborative Skillหรือทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ที่ต้องใช้ทั้งการรับฟัง การประนีประนอม การเคารพซึ่งกันและกัน การรู้จักบทบาทหน้าที่ที่มีร่วมกัน ขณะเดียวกันก็ต้องมีวิธีคิดและวิธีทำอย่างยืดหยุ่น เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการทำงานของทีมซึ่งอาจให้ประสิทธิผลที่สูงและตอบโจทย์ปัญหาอันซับซ้อนได้ดีกว่า

นิสิตชั้นปีที่ 3 สาขาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณที่ประกอบด้วย มายด์-มนฤดี ดำเอี่ยม โด้-อภิชัย จันทร์เกษ เจน-ชญาณี จิตต์ซื่อ เอเลี่ยน-อินทัช ขวัญสถาพรกุล และปุยนุ่น-ณัฐพร เลพล และเพื่อน ๆ อีก 6 คนเป็นคนรุ่นใหม่อีกกลุ่มหนึ่งที่ได้เรียนรู้ทักษะดังกล่าวผ่านโครงการพี่อาสาพาน้องอ่านเขียน เพราะต้องการช่วยแก้ปัญหาของโรงเรียนวัดท้ายยอ ตำบลเกาะยอ อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นโรงเรียนที่พวกเขาเคยไปทำกิจกรรมด้วยบ่อยครั้ง แต่ยังพบปัญหาเด็กอ่านไม่คล่อง เขียนไม่คล่อง เพราะการแก้ปัญหาที่ไม่ต่อเนื่องและไม่เป็นระบบ ผลลัพธ์ของโครงการได้ช่วยให้เด็ก ๆ เริ่มมีพัฒนาการด้านการอ่านและเขียนในทางที่ดีขึ้น และทำให้พวกเขาได้เรียนรู้การทำงานเป็นทีมเพื่อพัฒนาผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพด้วย

­

อ่านเขียนไม่ได้ ครูภาษาไทยขอช่วย

เมื่อตกลงเลือกโรงเรียนกลุ่มเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว ทีมงานจึงลงพื้นที่สำรวจโรงเรียน เพื่อดูความเหมาะสมของสถานที่ที่จะจัดกิจกรรม ดูสื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์ของโรงเรียน บรรยากาศในชั้นเรียน รวมถึงดูปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนเพราะมองว่าเป็นส่วนหนึ่งที่มีผลต่อความอยากเรียนหนังสือของน้อง และ “ตีซี้” กับน้อง ๆ ไว้เบื้องต้นเพื่อให้การทำกิจกรรมครั้งต่อไปง่ายขึ้น

“การสำรวจเป็นการวางแผนเบื้องต้นว่ามีทรัพยากรอะไรที่โรงเรียนมีอยู่ แล้วเราสามารถนำมาเอื้อต่อการจัดกิจกรรมของเราได้ ขณะเดียวกันก็ดูว่าโรงเรียนขาดอะไรที่เราสามารถเข้าไปเติมเต็มด้วยศักยภาพของเราได้บ้างบ้าง” ทีมงาน เล่า

ผลการสำรวจพบว่า โรงเรียนแห่งนี้จัดการเรียนการสอนเฉพาะชั้นอนุบาลกับ ประถมศึกษาปีที่ 4-6 ส่วนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 ต้องไปเรียนที่โรงเรียนข้างเคียง เนื่องจากมีครูและภารโรงจำนวนเพียง 7 คน สภาพห้องเรียนโดยรวมจึงไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ เพราะห้องมีขนาดเล็ก ไม่เพียงพอกับจำนวนนักเรียน ทำให้ครูดูแลไม่ทั่วถึง ภายในห้องเรียนก็ไม่มีอุปกรณ์ช่วยขยายเสียง ต้องใช้เสียงตัวเองในระดับที่ดังกว่าปกติ

หลังจากนั้นทีมงานได้กลับมาประชุมและแบ่งงานกันไปหาข้อมูลวิธีคัดกรองความสามารถในการอ่าน-การเขียนของเด็ก เพื่อกลับไปทดสอบอีกครั้งให้ได้ผลยืนยันเชิงประจักษ์ โดยทีมงานตัดสินใจเลือกแนวทางของหนังสือเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว ของศิวกานท์ ปทุมสูติ ที่เป็นแบบทดสอบการเขียนตามคำบอก 50 คำซึ่งครอบคลุมอักษรสูง-กลาง-ต่ำ และการผันวรรณยุกต์

ทีมงานวางแผนจะลงไปทดสอบ 2 ครั้ง ครั้งแรกคือน้องป. 4 และป.6 ครั้งที่ 2 คือน้องป.5 จากนั้นจึงแบ่งทีมออกเป็น 2 กลุ่มโดยแต่ละกลุ่มคละด้วยคน 3 แบบ คือ 1. คนที่ละเอียดในการจดบันทึกพฤติกรรมของน้องรายบุคคล เพื่อนำมาวิเคราะห์ร่วมกับคะแนนที่น้องได้ แล้วดูนิสัยการเรียนจะได้ช่วยหนุนเสริมให้เหมาะกับน้อง 2. คนที่ว่องไว เพื่อจับเวลาและจัดการกระบวนการทำงานให้ดำเนินต่อเนื่อง 3.คนที่มีทักษะในการควบคุมชั้นเรียน ที่สามารถแจกโจทย์และอ่านคำศัพท์แล้วน้องสนใจฟัง

“ข้อสอบมี 50 ข้อ เรากำหนดกันว่าให้เวลาเขียนคำละ 1 นาที แล้วเปลี่ยน ซึ่งเมื่อทดสอบจริง พบว่าบางคำก็เขียนไม่ถึง 1 นาที บางคำก็ช้าเกิน 1 นาที เราก็จดเวลาไว้เพื่อนำมาวิเคราะห์ว่าทำไมน้องถึงเขียนไม่ได้ เช่น มีการันต์ ตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา มีเสียงวรรณยุกต์” ทีมงาน เล่า

ทว่าเมื่อกลับมาตรวจข้อสอบ ทีมงานบอกว่าพวกเขาถึงกับมีอาการ “ตรวจไปมองหน้ากันไป” เพราะจากคะแนนเต็ม 50 คะแนน ผลที่ออกมามีตั้งแต่ 1 ถึง 45 คะแนน ซึ่งมีระยะห่างกันมากเกินไป และคะแนนส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 3 ถึง 17 คะแนน ซึ่งไม่ผ่านเกณฑ์ครึ่งหนึ่งที่ตั้งไว้ มีเพียง 3-4 คนเท่านั้นที่ผ่านเกณฑ์ นี่อาจทำให้เด็กส่วนใหญ่ตกอยู่ในกลุ่มอ่านไม่คล่อง-เขียนไม่คล่อง ทีมงานพิจารณาร่วมกันว่าเกณฑ์นี้ดูไม่ยุติธรรมต่อน้อง ๆ เพราะส่วนใหญ่เขียนผิดเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกเขาจึงนำข้อสอบมาตรวจใหม่ โดยเปลี่ยนเกณฑ์ให้คะแนน อย่างเช่น น้องเขียนพยัญชนะถูก แต่วรรณยุกต์ผิดก็ให้คะแนน เพราะการเขียนพยัญชนะถูกบ่งบอกว่าน้องพอรู้คำศัพท์นั้น เพียงแต่อาจยังผันเสียงวรรณยุกต์ไม่ถูก

­

เทคนิคเพื่อนช่วยเพื่อน ช่วยน้องอ่านออกเขียนได้

ทีมงานกลับไปทดสอบน้อง ๆ อีกครั้งเพื่อเก็บข้อมูลให้ละเอียดขึ้น โดยครั้งนี้ทีมงานให้น้อง ๆ เขียนตามคำบอกเป็นประโยค และทดสอบอ่านคำกับอ่านประโยคเพิ่มเติมด้วย พวกเขาบอกว่า การทดสอบน้อง ๆ เปลี่ยนความคิดความเข้าใจเกี่ยวกับการสอบของพวกเขาไปอย่างมาก จากเคยคิดว่าการใช้คะแนนแบบปรนัยเป็นเกณฑ์เหมาะสมที่สุด แต่หน้างานจริงที่พบจากโครงการนี้กลับไม่ใช่อย่างที่เคยคิด ต้องยืดหยุ่นและไตร่ตรองมากขึ้น เพราะหากใช้เกณฑ์เดิมก็เท่ากับพวกเขาตัดสินว่าน้องอ่าน-เขียนไม่ได้ ทั้งที่จริงแล้วจุดที่ผิดเป็นเพียงรายละเอียดเท่านั้น

หลังทดสอบเสร็จ ทีมงานได้นำข้อมูลทั้งหมดมาประมวลเพื่อดูทักษะการอ่าน-เขียน และพฤติกรรมของน้องแต่ละคน พบว่าน้องที่มีทักษะการอ่าน-เขียนต่ำกว่าคนอื่นแน่นอนมี 4 คน น้องป.4 สามารถอ่าน-เขียนได้คล่องหมด ส่วนป.5 อ่านเขียนไม่คล่อง 3 คน และป.6 อ่าน-เขียนไม่คล่อง 1 คน ส่วนน้องที่เหลือสามารถอ่านได้ แต่ยังเขียนไม่ค่อยถูก ทีมงานจึงตัดสินใจที่จะให้น้อง ๆ เรียนรวมกันโดยไม่แบ่งคนเก่ง คนอ่อน เพื่อให้เด็ก ๆ ได้ช่วยเหลือกันในชั้นเรียน หรือเรียกว่าใช้เทคนิค “เพื่อนช่วยเพื่อน” เข้าไปในการเรียนด้วย

ระหว่างที่ทีมงานเข้า-ออกโรงเรียนทุกสัปดาห์เพื่อเก็บข้อมูลและทำการทดสอบน้อง ๆ อีกด้านหนึ่งพวกเขาก็เปิดรับสมัครแกนนำร่วมเข้ามาเสริมทีมทำงาน ซึ่งช่วงแรกของการรับสมัครมีคนมาสมัครเพียง 13 คน พวกเขาจึงรับทั้งหมดโดยไม่ได้ทดสอบเพิ่มเติม แต่เมื่อถึงวันท้าย ๆ กลับมีคนมาสมัคร จนยอดเพิ่มเป็น 40 คน

เมื่อมีเพื่อน ๆ มาเสริมการทำงาน ทีมงานจัดประชุมเพื่อทำความเข้าใจรายละเอียดโครงการเป็นลำดับแรก จากนั้นอธิบายช่วงเวลาการทำกิจกรรมในโรงเรียนที่จะจัดตรงกับช่วงปิดเทอมของมหาวิทยาลัย เพราะต้องเข้าไปทำกิจกรรมในวันธรรมดาที่โรงเรียนเปิดทำการและต้องไม่กระทบกับการเรียนของพวกเขาเอง

หลังจากนั้นได้จัดค่ายพัฒนาศักยภาพแกนนำ เพื่อพัฒนาตัวเองและเพื่อนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ ภายใต้ชื่อ “เพาะกล้าภาษาไทย เพาะหัวใจความเป็นครู” เป็นระยะเวลา 2 วัน โดยกิจกรรมช่วงเช้าวันแรกเป็นการเสวนาแลกเปลี่ยนกับครูผู้สอนภาษาไทยจากโรงเรียนขนาดเล็ก ส่วนช่วงบ่ายเป็นกิจกรรมพูดคุยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพเหตุการณ์ที่วิทยากรเตรียมมาและทำสื่อการเรียนการสอน แล้วนำเสนอสื่อในวันรุ่งขึ้น จากนั้นร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาของโรงเรียนวัดท้ายยอ

ทีมงาน บอกว่า ขั้นตอนการทำพูดคุยทำความเข้าใจและค่ายพัฒนาศักยภาพแกนนำนี้เป็นเหมือนเครื่องมือทบทวนความพร้อมของตัวเองแก่เพื่อน ๆ ที่สมัครเข้ามา และทำให้ทุกคนเห็นเป้าหมายร่วมกันชัดเจน จากนั้นพวกเขาได้วางแผนลงพื้นที่ร่วมกันโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม เพราะสมาชิกมีจำนวนมาก เพื่อผลัดเปลี่ยนกันลงพื้นที่เป็นเวลา 10 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 วัน โดยวันหนึ่งสอนป.4 กับป.6 ส่วนอีกวันสอนป.5 และแบ่งหน่วยการเรียนรู้ออกเป็น 4 หน่วย หน่วยแรกคือการปรับพื้นฐานเรื่องพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ 3 สัปดาห์ หน่วยที่ 2 คือกิจกรรมจับคู่อ่านหนังสือระหว่างพี่กับน้อง เป็นเวลา 3 สัปดาห์ และหน่วยที่ 3 กับ 4 คือการฝึกเขียนอย่างง่าย และการเขียนสร้างสรรค์ อีก 4 สัปดาห์

­

10 สัปดาห์แห่งการเรียนรู้

กว่าจะได้แผนการเรียนรู้ 4 หน่วยที่จะนำมาสอนน้อง ๆ พวกเขาต้องประเมินทั้งศักยภาพของน้องที่สามารถเรียนรู้ได้ ศักยภาพของตัวเองที่สามารถสอนน้องได้ และความต้องการของทางโรงเรียนที่คุณครูอยากให้เด็ก ๆ เขียนเล่าเรื่องได้ แล้วนำมาออกแบบเป็นกิจกรรม พวกเขาให้เหตุผลที่ต้องทำแบบนี้เพราะทุกฝ่ายล้วนมีส่วนได้ส่วนเสียในการจัดการเรียนการสอน

การเรียนในหน่วยแรก ทีมงานที่เป็นแกนนำหลัก 5 คน ลงสอนเองทั้งหมดเพราะเป็นความรู้พื้นฐานสำคัญที่ต้องใช้คนที่เข้าใจจริง ๆ สอน โดยมีแกนนำร่วมมาช่วยดูชั้นเรียน กระทั่งเข้าสู่สัปดาห์ที่ 4 ที่เป็นการจับคู่อ่านหนังสือให้พี่อ่านให้น้องฟัง แล้วน้องลองผลัดมาอ่านให้พี่ฟัง แกนนำร่วมจึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีรุ่นน้องจากสาขาวิชาฟิสิกส์ที่ อาจารย์มณฑนา พิพัฒน์เพ็ญ ที่ปรึกษาโครงการ ชวนมาเรียนรู้โครงการของพวกเขามาช่วยทำกิจกรรมในหน่วยการเรียนรู้นี้ด้วย ทำให้พี่กับน้องได้จับคู่ 1 ต่อ 1 และได้ดูแลกันอย่างทั่วถึง

สถานการณ์หนึ่งที่ทีมงานพบในห้องเรียนคือ น้องบางคนเรียนไม่ทันเพื่อน ซึ่งหากพอมีเวลาก็ให้เพื่อนที่สอนอยู่ทบทวนอีกรอบ แต่ถ้าไม่ทันเวลาก็จะให้พี่ไปประกบช่วยอธิบายตัวต่อตัว พวกเขาให้เหตุผลที่ทำแบบนี้ว่าการทำการเรียนการสอนจะทิ้งเด็กคนใดคนหนึ่งไว้ข้างหลังไม่ได้ เพราะจุดติดขัดเล็กน้อยก็สำคัญต่อความเข้าใจในการเรียนเรื่องต่อไป ขณะเดียวกันจะทบทวนทุกครั้งก็อาจทำให้เด็กที่รู้แล้วไม่สนุกกับการเรียนเช่นกัน

การต้องมาทำงานผลัดเปลี่ยนกันในแต่ละสัปดาห์นี่เอง ทำให้ทีมงานคิดทำสมุดบันทึกพฤติกรรมน้องรายบุคคล เพื่อบันทึกแล้วส่งต่อให้เพื่อนที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำกิจกรรมได้รับรู้พัฒนาการของน้องอย่างทั่วถึง ส่วนน้องก็มีสมุดแบบฝึกหัดของตัวเองทุกคนสำหรับฝึกอ่าน ฝึกเขียน เรียกว่า “สมุดประจำตัว”

นอกจากนั้นหลังลงพื้นที่ทุกครั้ง พวกเขาจะกลับมา AAR (After Action Review) หรือการตั้งวงพูดคุยเหตุการณ์ที่พบเจอ สิ่งที่ทำได้ดี สิ่งที่ควรทำให้ดีขึ้น และบทเรียนที่ได้รับในวันนั้น ๆ ซึ่งจะมีประโยชน์สำหรับการปรับรูปแบบกิจกรรมในสัปดาห์ต่อไป และเป็นอีกช่องทางติดตามพัฒนาการของน้อง ๆ ด้วย

“การ AAR ช่วยให้กระบวนการจัดกิจกรรมเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้สอนเสร็จแล้วทิ้งเลย เราจะรู้ว่าอาทิตย์นี้เกิดอะไรขึ้น ควรรับมืออย่างไรต่อในอาทิตย์หน้า เหมือนการส่งแผนที่ให้กันไปเรื่อย ๆ ทำให้ตามงานได้ง่าย และเห็นภาพทั้งหมดว่าโครงการดำเนินไปถึงไหนแล้ว” ทีมงาน เล่า

แม้จะมีทั้งสมุดบันทึกพฤติกรรมและบันทึกจากวง AAR แล้ว ทุกตอนเที่ยงของวันที่จะมีการลงพื้นที่ทีมงานก็จะนัดประชุมกันอีกรอบ เพื่อพูดคุยสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ก่อนและสิ่งที่จะทำในสัปดาห์นี้ หรือเรียกว่า BAR (Before Action Review) เพื่อทบทวนให้ทุกคนเข้าใจตรงกันและเห็นเป้าหมายเดียวกันในการทำงาน กระบวนการทำงานของทีมงานสะท้อนภาพให้เห็นว่าการได้รับโอกาสที่เปิดกว้างในการทำโครงการนี้ ช่วยสร้างพื้นที่ให้พวกเขาได้เรียนรู้ทักษะสื่อสารของการทำงานเป็นทีม ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของทักษะ Collaborative


เรียนรู้ความเป็นครู

แต่บทเรียนที่ใหญ่กว่าการได้เรียนรู้จากการทำงานกับเพื่อนคือการ “เรียนรู้ความเป็นครู” จากน้อง ๆ ในโรงเรียนนี่เอง นับตั้งแต่ก้าวแรกที่พวกเขาเข้าไปโดยวาดฝันไว้ว่าจะพบกับน้องที่น่ารักสดใสสมวัยตามธรรมชาติ ทว่ากลับเจอกับการขับไล่ไสส่งจากน้อง ๆ ที่ไม่เต็มใจทำกิจกรรม จนต้องกลับมานั่งวิเคราะห์ปัญหาและหาทางออก ซึ่งพบว่าอาจเกิดจากการที่พวกเขาเข้าไปด้วยมาดวิชาการ ทำให้น้องรู้สึกเข้าไม่ถึง ทีมงานจึงปรับท่าทีให้เป็น “พวกเดียวกัน” กับน้อง โด้เล่าว่า

“ช่วงแรกน้องซนมาก เรายืนสอนอยู่ แล้วฝนตก เขาก็วิ่งออกไปจับกบเฉยเลย แต่พอนึกถึงตอนที่ตัวเองเป็นเด็กก็ชอบความสนุก ความท้าทายแบบนี้ เราเลยหาอะไรไปชวนน้องเล่นบ้าง เอาไปโชว์น้องบ้างว่าแบบนี้ทำได้หรือเปล่า เขาก็ค่อย ๆ หันมาสนใจเรา อยากทำตาม อยากเล่นด้วย และเห็นเราเป็นไอดอลสำหรับเขา” ทีมงาน บอก

จบปัญหาการถูกน้องขับไล่ไสส่งไปอย่างหนึ่ง ทีมงานก็ต้องพบกับปัญหาการไม่โฟกัสในการเรียนของน้อง ๆ เพราะช่วงแรกพวกเขาจัดสอนอยู่ใต้ถุนอาคารที่เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนคาบจะมีเด็ก ๆ ชั้นอื่นส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว บ้างมาชวนคุยชวนเล่น ทีมงานจึงใช้วิธีดึงสติน้อง ๆ ด้วยการให้เต้น หรือทำกิจกรรมที่ได้เคลื่อนไหว และสร้างเงื่อนไขให้รางวัลเมื่อทำงานเสร็จในเวลาที่กำหนด ซึ่งรางวัลก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเสียเงินซื้อหามาจากไหน เพราะเป็นเพียงการชวนน้องทำในสิ่งที่น้องชอบ อย่างป.4 จะชอบเล่นขยับมือประกอบเพลงกรรไกรไข่ผ้าไหม ป.5 ชอบฟังเรื่องผี ส่วนป.6 ชอบที่จะได้คุยกับพี่ ๆ เรื่องการแต่งหน้าแต่งตัว หรือการใช้ชีวิตแบบวัยรุ่น

การสอนที่ไม่ใช่เพียงให้ความรู้ แต่ยังเข้าไปเรียนรู้ตัวตนและหัวใจของน้อง ๆ ด้วยความใส่ใจ ทำให้ปฏิกิริยาของน้อง ๆ ที่มีต่อทีมงานทั้งหมดเปลี่ยนไป จากวันแรกที่ “ไล่” กลับกลายเป็น “เรียก” พี่คนไหนไม่มาก็ถามถึง แสดงความคิดถึงด้วยการทักแชทผ่านโลกออนไลน์มาคุย บางทีก็วิ่งกรูมาหาที่ประตูรถเมื่อรถตู้ของพวกเขาไปถึง หรือกระทั่งหาน้ำหวานและผลไม้มาเติมพลังให้พี่ ๆ ขณะสอน

ทีมงาน บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ชื่นใจ” กับสิ่งที่น้อง ๆ ทำให้และรู้สึกว่านี่ก็เป็นรางวัลตอบแทนที่มากพอแล้วสำหรับครูอย่างพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังได้รางวัลเพิ่มอีกอย่างนั่นคือความเปลี่ยนแปลงของน้อง ๆ จากเด็กที่พูดจาไม่มีหางเสียง กลับรู้จักการพูดให้อ่อนหวาน และจากเด็กที่ไม่เคยสนใจห้องสมุดกลับหยิบหนังสือถือติดตัวเป็นนิสัย เพราะการฝึกของพวกเขาที่ชวนน้อง ๆ อ่านนั่นเอง

­

บทเรียนของคนเป็นครู

เคยมีคำกล่าวว่า “นักเรียนคือครู...ของครู” เพราะการเรียนรู้ของครูมาจากการได้มีประสบการณ์การสอนนักเรียนนั่นเอง ซึ่งก็เกิดขึ้นจริงกับทีมงานที่ได้พบกับความเปลี่ยนแปลงอันน่าสนใจของตัวเอง หลังจากทำโครงการมาหลายเดือน โดยเรื่องที่ทุกคนเปลี่ยนแปลงไปเหมือนกันคือ “อารมณ์” จากวัยรุ่นใจร้อน เมื่อมาทำงานกับเด็กก็จำเป็นต้องลดระดับอารมณ์ลงเพื่อสังเกตน้อง ๆ แต่ละคนแล้วเข้าไปแก้ปัญหา หรือให้ความช่วยเหลือ

เจน บอกว่า ตอนนี้เธอเท่าทันอารมณ์ตัวเองมากขึ้น เมื่อรู้ว่าเริ่มคุกรุ่นก็จะเดินออกมาจากสถานการณ์นั้นก่อน นอกจากใจเย็นมากขึ้นแล้ว เธอยังรู้จักรับฟังเพื่อน และเคารพความคิดของคนอื่นมากขึ้นด้วยจากการที่ได้ทำงานร่วมกับเพื่อนเป็นทีม

ขณะที่ปุยนุ่น เด็กเรียนผู้ที่ไม่ชอบเข้าสังคม แต่กลับเห็นโครงการนี้เป็นโอกาสที่จะเปลี่ยนโลกสีเรียบ ๆ ของตัวเองให้จัดจ้านขึ้น จึงขอรับหน้าที่เลขานุการและประสานงานให้กับทีม ทำให้เธอเข้าหาผู้ใหญ่ได้ดีขึ้น พูดคุยกับคนอื่นเก่งขึ้น ที่สำคัญคือกล้าแสดงความคิดเห็นของตัวเองในวงประชุมของเพื่อน ซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเธอนี้จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเธอเมื่ออกไปประกอบอาชีพครูอย่างแน่นอน

มายด์ ยอมรับว่า เรื่องหลัก ๆ ที่ทำในโครงการนี้ทั้งการสอนเด็กประถม การสอนน้องอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความเป็นเธอทั้งหมด จริง ๆ แล้วเธอเคยไม่ชอบเด็กเพราะรู้สึกรำคาญเวลาเด็กวิ่งเล่น ไม่ชอบอ่านหนังสือ เพราะถนัดลงมือทำมากกว่าการนั่งนิ่ง ๆ แต่โครงการนี้กลับฝึกให้เธอต้องก้าวข้ามความเป็นตัวเองเพื่อไปสู่ความเป็นครูที่ต้องเป็นตัวอย่างให้เด็กดู ก่อนสอนให้เด็กทำ

สำหรับโด้ ผู้รับบทบาทหัวหน้าทีม บอกว่าตัวเองกล้าคิด กล้าทำ และกล้าแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่ตัวเองคิดมากขึ้น

“ตลอดการทำโครงการมีประสบการณ์เกิดขึ้นเยอะมาก ทั้งฝึกทักษะการทำงานเป็นทีม การคิด การสอนเด็ก เพราะตลอด 10 สัปดาห์ จะมีปัญหาเกิดขึ้นให้เราต้องคิดหาวิธีแก้เสมอ เรียกว่าถ้าวันไหนไม่มีปัญหานั่นคือแปลกมาก แล้วพอเราทำซ้ำ ๆ จึงเห็นว่าตัวเราค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงเราไปจากเราคนก่อนมากทีเดียว”

การออกไปทำโครงการในโรงเรียนจริงกับนักเรียนจริงเป็นจุดเริ่มต้นการขัดเกลาตัวตนของทีมงานทั้งในเรื่องทักษะการทำงานและจิตวิญญาณความเป็นครู ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้มีความสำคัญต่อการเป็นครูของพวกเขาในอนาคตไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน เพราะนักเรียนในรุ่นต่อไปที่เติบโตมาพร้อมกับสังคมที่ซับซ้อนมากขึ้นนี้อาจจำเป็นต้องการทั้งความรู้สำหรับการเอาตัวรอดในชีวิต และความรักที่จะทำให้พวกเขากล้ายืนหยัดต่อการเป็นคนที่มีคุณภาพของสังคมก็เป็นได้


โครงการพี่อาสาพาน้องอ่านเขียน 

ที่ปรึกษาโครงการ : ผศ.ดร.มณฑนา พิพัฒน์เพ็ญ

ทีมงาน :

  • มนฤดี ดำเอี่ยม 
  • อภิชัย จันทร์เกษ
  • ชญาณี จิตต์ซื่อ 
  • อินทัช ขวัญสถาพรกุล
  • ณัฐพร เลพล