การเรียนรู้ผ่านโครงการเพื่อชุมชน (PBL) เพื่อพัฒนาทักษะด้านการจักสานของเยาวชนในศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน จังหวัดสงขลา ปี 5

สานสายใย...สร้างหัวใจมีภูมิคุ้มกัน

โครงการสานสายใยเพื่อนช่วยเพื่อน

ขณะที่เส้นพลาสติกสารพัดสีค่อยๆ ถูกสานจนขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง และพัฒนาจากการสานรูปทรงเล็กๆ แสนธรรมดาสู่รูปทรงขนาดใหญ่ที่มีประโยชน์ใช้สอยและสวยงาม โลกภายในของทีมงานแต่ละคนก็ค่อยๆ ถูกขัดเกลาจนเข้าที่เข้าทาง และเติบโตขึ้นจนเริ่มงดงาม และเปลี่ยนแปลงไปในทางบวก

อดีตที่เคยผิดพลาดเพียงไม่กี่วินาทีอาจทำให้ใครหลายคนต้องพบจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต หนึ่งในนั้นคือเยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวน เขต 9 จังหวัดสงขลา ที่ความคะนองตามวัยในเสี้ยววินาทีผลักพาพวกเขาให้มาอยู่ในดินแดนอันไร้อิสรภาพ แต่เมื่อได้รับการหยิบยื่น “โอกาส” พวกเขาก็ไม่รีรอจะคว้าไว้เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเองให้ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน

­

จากโครงการสู่หน่วยเรียน

หลังจากโครงการสานสายใยเพื่อนช่วยเพื่อนได้เป็นโอกาสแห่งการเปลี่ยนแปลงให้เยาวชนในศูนย์ฝึกฯ ได้ฝึกอาชีพควบคู่กับทักษะชีวิตในหลายปีที่ผ่านมา กระทั่งทีมงานหลายคนได้รับอิสรภาพกลับคืนสู่สังคม ปีนี้โครงการยังคงขับเคลื่อนต่อโดย ครูเขี้ยว-ประชิด ตรงจิต เป็นที่ปรึกษาโครงการเช่นเดิม แต่ถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบจากเคยเป็นเพียงโครงการจากภายนอกให้กลายเป็น “หน่วยเรียน” วิชาชีพวิชาหนึ่งของศูนย์ฝึกฯ ซึ่งเรื่องนี้แสดงถึงการได้รับการยอมรับจากหน่วยงานภาครัฐถึงประโยชน์ของโครงการที่มีต่อเยาวชน

“เด็กที่ทำโครงการนี้ นอกจากได้ทำตะกร้า พวกเขายังมีอาชีพติดตัว ได้ออกไปสัมผัสสังคมข้างนอก ไปขายสินค้า บางคนเป็นวิทยากรสอนเพื่อน ๆ ต่างศูนย์ฯ กลายเป็นผลงานในทางบวกของศูนย์ฝึกฯ ทำให้เด็กที่มาเข้าโครงการกับเรา สามารถนำไปเขียนเป็นผลงานประพฤติได้ เมื่อผลงานของเราโดดเด่น ทำให้เรามั่นใจว่าโครงการนี้สามารถเป็นหน่วยเรียนได้ เพราะเรามีเงินทุนหมุนเวียนภายในกลุ่มจากการขายสินค้า ไม่ต้องรอเงินสนับสนุนจากศูนย์ฝึกฯ และมีฐานการทำงานจากสงขลาฟอรั่มที่ทำให้เรามั่นใจว่า ถ้าสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างเด็กกับครูให้ดีแล้ว เราก็สามารถดูแลเขาได้” ครูเขี้ยว เล่าถึงปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้เขาเชื่อมั่นจนผลักดันโครงการสานสายใยเพื่อนช่วยเพื่อนให้กลายเป็นหน่วยเรียนได้สำเร็จ

และสำหรับปีนี้เยาวชนส่วนใหญ่ที่ร่วมหัวจมท้ายกับโครงการในปีที่ผ่านมาได้พ้นกำหนดรับโทษจนเกือบหมดแล้ว เหลือเพียง ปาย กับ บอย ซึ่งพวกเขาจึงขึ้นมาเป็นรุ่นพี่คอยสอนรุ่นน้องในวิชาชีพการสานของปีนี้ โดยมีโดม ทาม โป้ นัท และอั๋น เข้ามาเสริมทีม

การจัดการเรียนการสอนของ “หน่วยเรียนงานสานเส้นพลาสติก” จะมีขึ้นในวันจันทร์-อังคาร เต็มวัน และวันพุธครึ่งวันเช้า แม้จะเปลี่ยนหน้าฉากกลายเป็นวิชาเรียน ทว่ากระบวนการถ่ายทอดความรู้ยังคงรูปแบบเดิมนั่นคือ “การถ่ายทอดจากพี่สู่น้อง”

ปายและบอย 2 หนุ่มผู้มีประสบการณ์มาก่อน เล่าว่า พวกเขาสอนรุ่นน้องด้วยวิธีเดียวกับที่เคยได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นพี่ โดยเริ่มจากดูว่ารุ่นน้องถนัดซ้ายหรือขวา เพราะวิธีขึ้นต้นจะต่างกัน แล้วฝึกให้สานพลาสติกทรงกลมขนาดเล็กก่อน จากนั้นค่อยขยับมาสานขนาดกลาง ขนาดใหญ่ ฝึกใส่ลวด แล้วถึงจะเปลี่ยนมาสานทรงสี่เหลี่ยมเล็ก กลาง และใหญ่ เช่นเดียวกับทรงกลม เหตุผลที่ให้ทำทรงสี่หลี่ยมทีหลัง เพราะจะดัดยากกว่าทรงกลม

ปาย บอกว่า การเปลี่ยนบทบาทจากผู้เรียนมาเป็นผู้สอนเป็นบทเรียนใหม่ที่เขาได้เรียนรู้เรื่องความอดทน เพราะรุ่นน้องที่ไม่เคยทำจะทำได้ช้า เขาจึงต้องคอยอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ยังมีบางคนไม่ค่อยเข้าใจ และกลับมาถามแล้วถามอีก จนเขาหงุดหงิดแล้วยื่นคำขาดว่าจะอธิบายเป็นครั้งสุดท้าย แต่เมื่อน้องมาถามอีก เขาก็เลือกข่มใจตัวเองแล้วอธิบายให้น้องฟังอีกครั้ง

“คนที่สมัครเข้ามาส่วนใหญ่มีความตั้งใจที่จะมาเรียนอยู่แล้ว ถึงจะหงุดหงิดเวลาเขาถามซ้ำๆ สุดท้ายก็อธิบายใหม่อยู่ดี เพราะอยากให้เขาทำเป็น ถ้ามาเรียนแล้วเขาทำไม่ได้ มันก็เสียเวลาเขา ไม่รู้จะเรียนไปทำไม” ปาย ย้ำ

­

เคารพกติกา และนึกถึงผู้อื่น

อีกสิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่กับโครงการสานสายใยเพื่อนช่วยเพื่อน แม้จะเปลี่ยนเป็นหน่วยเรียนแล้วคือ การช่วยกันดูแลอุปกรณ์ในการทำงานที่เป็นของมีคม เช่น เหล็กเส้น กรรไกร ซึ่งสามารถนำไปทำเป็นอาวุธได้ อันเป็นสิ่งของที่ศูนย์ฝึกฯ ค่อนข้างเข้มงวดในการนำมาใช้ภายในศูนย์ฝึกฯ

บอย บอกว่า หลายปีที่ผ่านมาโครงการนี้ไม่เคยมีปัญหาเรื่องดังกล่าว เพราะรุ่นพี่ช่วยกันดูแลมาเป็นอย่างดี พอมาถึงรุ่นพวกเขาก็พยายามระมัดระวังกันให้มากขึ้น เพราะนอกจากเกี่ยวข้องกับความไว้ใจระหว่างเพื่อนและครูแล้ว การได้รับอนุญาตให้เป็นหน่วยเรียนยังแสดงถึงความไว้ใจของศูนย์ฝึกฯ ที่มีต่อกลุ่มสานสายใยฯ อย่างมาก จึงไม่อยากให้มาเสียในรุ่นของพวกเขา หลังจากรับรุ่นน้องเข้ามาในปีนี้จึงมีการปฐมนิเทศพูดคุยเรื่องนี้ก่อน ซึ่งทุกคนที่เข้ามาเรียนก็ยอมรับข้อตกลงและรักษากฎเป็นอย่างดีตลอดการทำโครงการ

ทาม เล่าว่า เวลาจะสาน สามารถนำเส้นพลาสติกไปนั่งสานนอกห้องได้ แต่เวลาจะตัดต้องมาตัดในห้องเท่านั้น เพราะไม่อนุญาตให้นำอุปกรณ์ของมีคมออกไปนอกห้องเลย เราก็ต้องป้องกันไว้ก่อน เพราะหากหลุดออกไป ศูนย์ฝึกฯ รู้แน่นอนว่ามาจากห้องจักสาน เพราะมีที่นี่ที่เดียว

ปาย เสริมต่อว่า ไม่ใช่แค่ได้หยิบจับของมีคม แต่หน่วยเรียนนี้ยังเป็นหน่วยเรียนเดียวที่ไม่มีครูมาคอยนั่งคุม ครูเขี้ยวให้อิสระแก่พวกเขาในการสอนกัน ทำงานกัน และดูแลกัน แม้แต่ตอนออกไปเข้าร่วมกิจกรรมเวิร์ก

ช็อป หรือขายของข้างนอก ครูก็จะไม่คุมเข้มเช่นกัน เพียงแต่คอยดูอยู่ห่าง ๆ เมื่อครูให้ใจมากขนาดนี้ พวกเขาจึงให้ใจกลับไป ช่วยกันดูแลโดยนึกถึงครู นึกถึงเพื่อนเสมอ ไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนจากการกระทำของพวกเขา

“ใจแลกใจ” เป็นบทเรียนที่ค่อนข้างจริงสำหรับทีมงานกลุ่มนี้ และอาจจะจริงสำหรับเด็กเยาวชนอีกหลายกลุ่มด้วย ที่หากได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ว่าเขามีศักยภาพในการดูแลตัวเอง และให้อิสระในการดูแลตัวเองก็จะส่งผลให้เด็ก ๆ เกิดความเชื่อมั่นในความดีของตัวเองตามไปด้วย อันนำมาสู่การเคารพกติกาของการอยู่ร่วมกัน ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ในการทำงาน และการเห็นอกเห็นใจครูและเพื่อน ซึ่งสิ่งนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะถูกส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น เพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่ให้ความสำคัญแก่การถูกยอมรับจากกลุ่มเพื่อน (Peer Pressure) นั่นเอง

­

สานด้วยมือ พิจารณาด้วยใจ

ขณะที่เส้นพลาสติกสารพัดสีค่อย ๆ ถูกสานจนขึ้นรูปเป็นรูปเป็นร่าง และถูกพัฒนาจากการสานรูปทรงเล็ก ๆ แสนธรรมดาสู่รูปทรงขนาดใหญ่ กลายเป็นตะกร้า กระเป๋า ที่มีประโยชน์ใช้สอยและสวยงาม โลกภายในของทีมงานแต่ละคนก็ค่อย ๆ ถูกขัดเกลาจนเข้าที่เข้าทาง และเติบโตขึ้นทีละนิดอย่างงดงาม จนพวกเขาต่างค้นพบความเปลี่ยนแปลงทางบวกของตัวเอง

โดม เล่าว่า ตอนที่มาอยู่ศูนย์ฝึกฯ แรกๆ เขารู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก โลกข้างใน 1 วันยาวนานราวเหมือน 7 วัน เขาจึงหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ว่าง ทั้งเล่นกีฬา อาสาช่วยงานโรงซักผ้า และเรียนวิชาชีพต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือการสานเส้นพลาสติกที่ทำให้เขาได้ฝึกสมาธิและสติ เวลาของเขาจึงผ่านไปรวดเร็วขึ้นเมื่อจดจ่ออยู่กับการสาน และทำให้เขารู้ว่าตัวเองมีศักยภาพมากกว่าที่คิด จากการฝึกทำชิ้นงานที่ใหญ่และยาก ที่ตอนเข้ามาทำแรก ๆ ไม่คิดว่าจะทำได้ แต่เมื่อผ่านการฝึกฝนเรื่อยๆ ก็ทำได้ในที่สุด นี่จึงทำให้โดมเห็นคุณค่าของความพยายามและการไม่ตัดสินความสามารถตัวเองก่อนจะลองพยายาม

ด้านโป้ เล่าว่า เขาได้เรียนรู้เรื่องความอดทนมากที่สุด จากตอนขึ้นฐานตะกร้าที่ทั้งเจ็บ ทั้งเมื่อย และใช้เวลานาน แต่เพราะอยากให้ผลงานออกมาดี เขาจึงพยายามทำแล้วทำอีก กระทั่งได้ตะกร้าที่เป็นรูปร่างและกลายเป็นความภูมิใจของตัวเองด้วย

อั๋นเองก็ได้ฝึกความอดทน และสมาธิเหมือนกับเพื่อนๆ และพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ จากการค้นพบว่า ตัวเองถนัดในการออกแบบอะไรใหม่ ๆ เพราะสามารถคิดทำชิ้นงานรูปแบบใหม่ได้เองโดยไม่ต้องรอถามจากครูและพี่

ทาม บอกเช่นกันว่า ได้ฝึกความคิดสร้างสรรค์ จากตอนแรกที่รู้สึกว่ายาก ไม่อยากทำ แต่พอทำเสร็จ 1-2 ชิ้น ก็เริ่มมีกำลังใจมากขึ้นที่จะทำ จนอยากพัฒนาชิ้นงานให้ดีขึ้น

“พอผ่านความยากของการฝึกสานช่วงแรกได้ เราก็เริ่มเข้าใจ เริ่มง่ายขึ้น รู้ว่าจากจุดนี้ต้องสานตรงไหนต่อ จึงเริ่มคิดจะออกแบบเอง เห็นกล่องก็วัดแบบ คำนวณสาย ปรับแต่งเอง ออกแบบลายเอง ขณะเดียวกันก็ทำให้เรากลายเป็นคนใจเย็นมากขึ้น คลายความกังวลเรื่องคดีและเรื่องที่บ้านไปได้”

สำหรับนัท สิ่งที่เขาได้เรียนรู้คือ ความตั้งใจที่ไม่ลดละเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย จากไม่เคยทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน แต่เมื่อสานตะกร้าใบแรกสำเร็จก็ทำให้เขาภาคภูมิใจในตัวเอง ส่วนใบต่อๆ มาทำให้เขาเปลี่ยนมุมมองต่อตัวเองจากที่เคยเห็นว่าตัวเองไม่ค่อยเรื่องได้ราว กลับกลายเป็นคนที่มีความสามารถสานของได้เป็นชิ้นเป็นอัน และสร้างรายได้ให้แก่ตัวเองด้วย

ความเปลี่ยนแปลงของบอย คือเรื่องการจัดการอารมณ์ที่เกิดจากการต้องค่อยๆ สานทีละเส้น เพราะถ้ารีบร้อน หรือจิตใจวอกแวกจะทำให้สานผิดได้ แล้วถ้าผิดเส้นหนึ่งก็ต้องรื้อใหม่ทั้งหมด ทำให้เขากลายเป็นคนมีสมาธิ จดจ่อ และสงบขึ้น

ปาย บอกคล้ายกับบอยว่า เขาเองก็จัดการอารมณ์ได้ดีขึ้นมาก ซึ่งนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงเรื่องอื่นๆ ในชีวิตของเขาด้วย

“เมื่อก่อนเป็นคนใจร้อน แต่การสานช่วยพัฒนาอารมณ์ของเรา เพราะถ้าไม่นิ่งก็ทำไม่ได้ ทำให้เรากลายเป็นคนนิ่งขึ้นในเรื่องอื่น ๆ ด้วย และช่วยพัฒนาความคิดของเราให้คิดถึงอนาคตมากขึ้น วางแผนชีวิตได้ดีขึ้น”

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของแต่ละคน ทำให้พวกเขาฉุกคิดถึงอนาคตในวันข้างหน้ามากขึ้นและเริ่มวางแผนถึงวันที่ได้รับอิสรภาพว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรเพื่อให้พวกเขาไม่กลับมาสู่จุดนี้อีก ซึ่งสิ่งที่แต่ละคนเลือกทำเหมือนกันคือ “การเรียนต่อ” โดยตอนนี้พวกเขากำลังเรียนต่อ กศน. เพื่อให้ได้วุฒิการศึกษามาเป็นเครื่องมือในการหางานสุจริตทำต่อไป

นอกจากนั้นยังลงเรียนวิชาชีพอื่น ๆ ที่ศูนย์ฝึกฯ เปิดสอนด้วย อย่างนัทก็กำลังเรียนช่างไฟ โป้เรียนตัดผม เพื่อนำไปเปิดร้านของตัวเอง และอยากนำวิชาจักสานเส้นพลาสติกไปรับจ้างสอนคนแถวบ้านด้วย ส่วนปายพี่ใหญ่ของกลุ่มกำลังพยายามอย่างหนักทั้งเรียน กศน. เรียนเก็บหน่วยกิตของมหาวิทยาลัยรามคำแหง เพื่อไปสู่ฝันที่ยิ่งใหญ่อย่างการเป็นทนายความ

เมื่อทีมงานและเยาวชนคนอื่นๆ ที่เคยผ่านโครงการสานสายใยเพื่อนช่วยเพื่อนก้าวออกจากศูนย์ฝึกฯ แห่งนี้ไป แม้พวกเขาอาจไม่ได้ยึดการจักสานเส้นพลาสติกเป็นอาชีพ แต่จิตใจที่ได้รับการเติมภูมิคุ้มกันจากงานสานตะกร้าจะติดตัวพวกเขาให้ออกไปเป็นคนที่ศรัทธาในความดีของตัวเอง และมองเห็นคุณค่าของชีวิตมากพอที่จะไม่ก้าวกลับมายังที่แห่งนี้อีกแน่นอน


โครงการสานสายใยเพื่อนช่วยเพื่อน

ที่ปรึกษาโครงการ : ครูประชิด ตรงจิต เจ้าหน้าที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวน เขต 9 จังหวัดสงขลา

ทีมงาน : เยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวน เขต 9 จังหวัดสงขลา