ประกายความคิดในวันเริ่มต้น
ในปี พ.ศ. 2547
ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการให้เป็นครูผู้รับผิดชอบโครงการขับเคลื่อนหลัก
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนโยธินบูรณะ จึงได้ตอบรับที่จะทำในทันที
ด้วยเห็นว่าเป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในฐานะข้าแผ่นดินสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
จึงยินดีและเต็มใจที่จะทำอย่างยิ่ง แม้จะยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรก็ตาม
จุดเริ่มต้นมาจากการทำความเข้าใจหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ด้วยการให้นักเรียนทำกิจกรรมลด ละ เลิกพฤติกรรมเสี่ยงเพื่อในหลวง
และมีการทำวิจัยเล็กๆ เพื่อสำรวจพฤติกรรมนักเรียน
แล้วนำมากำหนดเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงใน
โรงเรียน ใน 4 ด้าน คือ ด้านการบริโภค ด้านการเรียน และการใช้เวลาว่าง
ด้านพฤติกรรมและการประหยัดพลังงาน
สุดท้ายด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ซึ่งทำให้ทราบบริบทของโรงเรียนและพบว่านักเรียนโรงเรียนโยธินบูรณะมีศักยภาพ
ในการเก็บออมและแบ่งบันแต่ยังทำน้อยเกินไป
จึงนำมาสู่การคิดกิจกรรมหรือแนวทางที่จะให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมมากที่สุด
แนวทางในการปฏิบัติ
ค่ายผู้นำเยาวชนพอเพียง และการขยายผล
กิจกรรม
ที่ทำเป็นกิจกรรมแรกคือการคัดเลือกนักเรียนกลุ่มหนึ่งราว 50 คน
ไปเข้าค่ายสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
เพื่อพัฒนาให้เป็นแกนนำในการขับเคลื่อนภายในโรงเรียน
หลังจากกลับมาแล้วนักเรียนเกิดความคิดอยากทำให้ต่อเนื่อง
ครูจึงให้เขารวมกลุ่มและค่อยๆ สร้างตัวตนขึ้นมา
พร้อมกับการสร้างความเข้าใจหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ชัดเจนขึ้น
โดยจัดให้มีการประกวดสัญลักษณ์ของชุมนุม ซึ่งเขาก็จะไปทำ story board
มาแข่งขันกัน
โดยโจทย์ที่ให้คือต้องอธิบายความหมายของสัญลักษณ์ที่ออกแบบมาว่าคืออะไร
หมายถึงอะไร พอมาถึงขั้นนี้เมื่อได้สัญลักษณ์มาแล้ว เด็กๆ
ก็มีคำถามขึ้นมาเองว่า แล้วสัญลักษณ์นี้จะไปอยู่ที่ไหน
ครูจึงให้เด็กช่วยกันคิดต่อ ซึ่งเขาก็เสนอหลายอย่าง เช่น เอาไปติดบนเสื้อ
จากนั้น จากนั้นตั้งโจทย์ต่อ
โดยออกอุบายให้เขียนเรื่องที่ไปเรียนรู้มาจากการเข้าค่ายมาคนละเรื่อง
พร้อมวิเคราะห์ว่าเป็นปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างไร นั่นคือ
การนำสิ่งใกล้ตัวเด็กมาสอน
และช่วยย้ำให้เด็กเข้าใจหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมากขึ้น ในที่สุด
แกนนำกลุ่มนี้ ได้รวมตัวกันตั้งชุมนุมขึ้นชื่อ ชุมนุมโมโย (Moderate Youth
Club) หมายความถึง เยาวชนที่เดินทางสายกลางตามแนวพระราชดำริ
ครู
ปริศนานำกระบวนการที่ได้จากค่ายมาสู่การจัดตั้งและดำเนินกิจกรรมของชุมนุมโม
โย ออกแบบการเรียนรู้ให้เด็กอย่างง่ายๆ ให้เด็กมีอิสระในการคิด
และให้มีส่วนร่วม ในลักษณะเด็กคิด เด็กทำ ส่วนครูมีหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง
คอยถาม คอยชี้แนะว่า เมื่อเกิดปัญหาเฉพาะหน้าจะต้องแก้ไขอย่างไร
โดยใช้วิธีให้นักเรียนช่วยคิดและค้นหาคำตอบ ครูมีหน้าที่สร้างโอกาส
เปิดเวทีให้เขาได้เรียนรู้ และให้เขาทำ และสอนเขาจากสิ่งที่เขาทำ
|
|
|
ผล
การออกแบบและการสอนดังกล่าวทำให้ในสองปีแรกของชุมนุมโมโย
คิดกิจกรรมออกมาจำนวนมาก
โดยเฉพาะการออกแบบเกมที่สอดแทรกการเรียนรู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
เป็นลักษณะของเกมเรียนปนเล่น เช่น เกมเหยียบกระดาษ เกมยกป้ายแฟนพันธุ์แท้
(ดูรายละเอียดในเรื่อง “โมโย : ฐานการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง)
โดยทดลองทำกันในโรงเรียนก่อน เมื่อมั่นใจว่าทำได้ และเข้าใจดีแล้ว
จึงคิดขยายออกไปทำกิจกรรมกับนักเรียนโรงเรียนอื่น และในช่วงสองปีหลัง
“โมโย” สามารถยกระดับขึ้นมาเรื่อยๆ
โดยมีการกลับมาทบทวนสรุปบทเรียนของการไปทำกิจกรรมแต่ละครั้ง จุดเด่น
จุดด้อย ปัญหา อุปสรรคที่เกิดขึ้น มีการแก้ไขอย่างไร
เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับการทำกิจกรรมในครั้งต่อไป
ครู
ปริศนากล่าวว่า
การที่ครูโหมเกลียวกระตุ้นให้นักเรียนคิดและทำอย่างรอบคอบโดยใช้หลักปรัชญาฯ
เป็นหลักยึด ทำให้พบว่าชุมนุมโมโยยกระดับตัวเองมาเรื่อยๆ
จากในปีแรกเป็นการเริ่มสร้างตัวตนของเด็ก พอเด็กเริ่มรู้สึกมีตัวตน
พอมีเด็กรุ่นน้องๆ ตามมา
ก็เริ่มติดยึดตัวตนว่าจะทำอะไรก็ต้องชุมนุมโมโยของเรา ครูจึงเกิดความคิดว่า
ถึงเวลาที่โมโยต้องสลายตัวตน
เด็กต้องไม่ยึดมั่นว่าการทำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงจะต้องเป็นโมโยทำเท่านั้น
แต่ต้องให้เด็กเข้าใจในส่วนลึกว่า สิ่งที่เขาทำคืออะไร
ความดีที่ทำมามีคุณค่าให้กับตัวเองอย่างไร
ฉะนั้นสองปีหลังนี้ครูจึงออกแบบวิธีการโดยให้นักเรียนไปชวนเพื่อนในชุมนุม
อื่นๆ มาร่วมทำกิจกรรมร่วมกันโดยดูที่เป้าหมายของสิ่งที่ทำ คือ
อุดมการณ์ยังอยู่ คุณค่าในตัวเองยังอยู่
ในขณะเดียวกันนักเรียนจะทำกิจกรรมอยู่ในชุมชนใดก็ได้
ไม่จำเป็นต้องอยู่ชุมนุมโมโย แต่ขอให้เอาหลักคิด
หลักการและหลักปฏิบัติตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้
ซึ่งครูพบว่ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเป็นกิจกรรมหนึ่งที่สามารถเสริมสร้างและ
สอนทักษะชีวิตที่แทรกแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงแก่นักเรียนได้ดี
และเด็กเหล่านี้ก็ทำหน้าที่ไปขยายต่อให้กับเพื่อนในโรงเรียน
โดยครูมีหน้าที่สร้างโอกาส ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน ชี้แนะความคิด
การบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ลงในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
การ
นำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาบูรณาการในวิชาสังคมศึกษาทำได้ไม่ยากเพราะ
เป็นเรื่องใกล้ตัวนักเรียน และมีกำหนดไว้ในหลักสูตร
ในมาตรฐานและตัวชี้วัดอยู่แล้ว ตัวอย่าง เช่น
การทำแผนที่ความดีกับการสอนเรื่องค่านิยมความพอเพียงในสาระที่ 2
หน้าที่พลเมือง และการทำโครงงานประวัติศาสตร์
กับการสอนเรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์โดยบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอ
เพียง
“การ
สอนเรื่องใดก็ตามที่เป็นเรื่องใกล้ตัวของตัวนักเรียน
จะเป็นเรื่องที่สอนแล้วก่อให้เกิดพลังขึ้นในตัวเด็ก
ยิ่งเมื่อนักเรียนได้ลงมือทำด้วยตนเองแล้วจะยิ่งทำให้นักเรียนเรียนรู้ได้
ลึกซึ้งและเร็วกว่าการสอนแบบบรรยายหรือวิธีสอนอื่นๆ
แต่การเรียนแบบนี้จุดสำคัญจะอยู่ที่ครูที่จะต้องคอยเป็นผู้แนะนำ เชื่อมโยง
ให้ความรู้ที่นักเรียนยังไม่เข้าใจอยู่เป็นระยะๆ
ระหว่างทำก็ให้นักเรียนพยายามค้นหาสิ่งที่ครูต้องการ
คือผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ด้วยการตั้งคำถาม ชวนคิด
เปิดโอกาสให้นักเรียนในห้องมีส่วนร่วมในการซักถามและเรียนรู้ไปพร้อมกัน”
การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน มีอิสระในการเรียนรู้
สร้างให้ผู้เรียนเกิดความสุขในการเรียนรู้ เพราะความสุขเป็นเงื่อนไขสำคัญที่พาให้ผู้เรียนอยากรู้ อยากเรียน
ผู้เรียนได้ใช้ศักยภาพออกมาอย่างเต็มที่
การทำแผนที่ความดี
แผนที่
ความดี เป็นการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของหลักสูตรแกนกลางฯ
คือ การเป็นพลเมืองที่ดี แผนที่ความดี
เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง
เรียนรู้จากการปฏิบัติ (learning by doing) โดยครูใช้กระบวนการสร้างความรู้
ผ่านวิธีการสืบค้นด้วยตนเอง กระบวนการคิด
และสุดท้ายเป็นการนำเสนอด้วยการเขียน และการเล่าเรื่องเร้าพลังในกลุ่ม กับ
การเล่าหน้าชั้นเรียน
ครูออกแบบการสอนแผนที่ความดี เป็น 3 ส่วน
ส่วนที่ 1
นักเรียนสืบค้น ความหมายของคำ 5 คำ คือ ความรู้ ความจริง คุณค่า ความดี
และความพอเพียง จากนั้นให้นักเรียนสังเคราะห์ความหมายของคำเหล่านั้น
ในมุมมองของตนเอง เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้
ส่วนที่ 2 หาคนต้นแบบ นักเรียนค้นหาคนที่เขาประทับใจ โดยนักเรียนเลือกตัวอย่างคนดีจากคน ใกล้ชิด คนในครอบครัว หรือบุคคลอื่น
ส่วนที่ 3
ถอดบทเรียนจากบุคคลที่ประทับใจ ว่าทำไมนักเรียนจึงคิดว่าเขาเป็นคนดี
เขามีคุณธรรมอะไรบ้าง ซึ่งเป็นขั้นที่เด็กต้องใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์
และสังเคราะห์ให้เห็นว่าคนที่ตนเองเลือกนั้นดีอย่างไร
ดัง
นั้น ทุกห้องก็จะมีเรื่องประทับใจ ซึ่งในกระบวนการเหล่านี้
เด็กได้ผ่านกระบวนการคิด กระบวนการทำ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้
และสิ่งสุดท้ายที่ได้คือ
เขาจะรู้ว่าการเป็นพลเมืองดีและในความหมายที่กว้างกว่าที่กำหนดไว้ในวิชา
หน้าที่พลเมือง คือ
รู้ว่าพลเมืองดีนอกจากเคารพกฎหมายแล้วยังต้องเป็นคนดีด้วย
ผล
ที่ได้รับจากการทำกิจกรรมแผนที่คนดี คือ
นักเรียนและครูได้เรียนรู้เรื่องราวความดีมากมายที่เด็กทำ ทั้งนี้
ระหว่างที่เด็กเล่าเรื่อง ครูก็ทำหน้าที่เหมือน
“คุุณอำนวย”ที่
คอยซักถามเด็กว่า ใช้อะไรเป็นหลักยึดในการทำความดีนั้นๆ
และเมื่อทำความดีแล้วรู้สึกอย่างไร ผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร
และเกิดคุณธรรมอย่างไรกับตัวเอง
การ
ทำบันทึกความดีของนักเรียนตามการทำแผนที่คนดี
ก่อให้เกิดตัวอย่างคนดีมากมายที่นักเรียนได้ค้นพบด้วยตัวเอง
ทั้งที่เป็นคนดีตามหลักคำสอนของศาสนา คนดีที่สังคมยอมรับ คนดีของครอบครัว
เป็นต้น ซึ่งครูสามารถหยิบยกมาเป็นตัวอย่างในการสอนอีกครั้งหนึ่ง
พร้อมกับสอนเรื่องความพอเพียงไปพร้อมกัน ดังเช่น
เรื่องเล่าของนักเรียนคนหนึ่งชื่อ
“บุญ (อัมรินทร์)” เขา
เล่าว่าทุกวันจะไปวิ่งออกกำลังกายบริเวณสายใต้ใหม่
แล้วมีอยู่วันหนึ่งมีขอทานมาขอสตางค์ค่ารถกลับบ้าน
แวบแรกที่เขาเห็นสภาพของคนนั้นเขารู้สึกอยากช่วยเหลือเพราะสงสาร
จึงควักไปในกระเป๋าพบว่ามีธนบัตรใบละ 500 บาทอยู่ใบเดียว
บุญตัดสินใจให้เงินกับขอทานไป แล้วผลก็คือบุญก็กลับบ้านไม่ได้
ต้องโทรศัพท์หาคุณแม่ว่าจะนั่งแท๊กซี่กลับไปแล้วให้คุณแม่มารอพร้อมกับ
เตรียมจ่ายค่าแท๊กซี่ให้ด้วย
ครูจึงขออนุญาตบุญนำเรื่องนี้มาเป็นตัวอย่างในการสอนเศรษฐกิจพอเพียงว่านี่
เป็นการกระทำที่ไม่พอดี ไม่พอประมาณ ไม่มีเหตุผล บุญจึงไม่มีภูมิคุ้มกัน
บุญเสี่ยงที่จะไม่ได้กลับบ้าน ถ้าโทรศัพท์เสีย หรือโทรไปแล้วแม่ไม่อยู่บ้าน
บุญจะทำอย่างไร เป็นการนำเรื่องเล่าในบันทึกความดีของเด็กมาสอนต่อ
วิธี
การสอนผ่านกิจกรรมบันทึกความดีนี้ ทำให้ครูปริศนาค้นพบว่า
แทนที่ครูจะไปสอนคุณธรรม ค่านิยมและ เศรษฐกิจพอเพียงให้กับผู้เรียน
ก็เปลี่ยนเป็นการเรียนรู้โดยให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง
ทำให้เกิดความรู้ที่คงทนฝังแน่นมากกว่าการเรียนรู้แบบอื่นๆ
กิจกรรม
นี้ทำให้ผู้เรียนทุกคนมีสมุดบันทึกความดีที่ทำขึ้นเองที่เขาภาคภูมิใจ
และผลจากการสอนครั้งนี้ช่วยให้ผู้เรียนสามารถให้นิยามคำว่า “ความดี” “คนดี”
ในหลากหลายมิติ ได้เห็นแนวทาง วิธีการในการทำความดี
และสามารถบอกได้ว่าระหว่างทำและหลังทำความดีแล้วนั้นเกิดคุณธรรมในด้านใด
บ้าง
และยังได้คัดเลือกสมุดบันทึกความดีบางส่วนส่งไปให้โรงเรียนในเครือข่ายเพื่อ
เป็นการขยายผลด้วย
|
โครงงานประวัติศาสตร์ไทย
การ
เรียนรู้ผ่าน “โครงงาน”
มีเป้าหมายเพื่อต้องการให้เด็กเข้าใจประวัติศาสตร์ไทยอย่างลึกซึ้ง
ไม่ใช่เรียนประวัติศาสตร์แบบท่องจำ
โดยเน้นการเรียนรู้จากการได้ทำด้วยตัวเอง
เพื่อแก้ปัญหาเด็กเบื่อไม่อยากเรียน และให้เด็กทำเรื่องใกล้ตัว
แล้วใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์แล้วให้พอเหมาะกับความรู้ความสามารถของผู้
เรียน
ครู
จึงเลือกวิธีสอนโดยใช้โครงงาน
ด้วยการแบ่งเด็กออกเป็นกลุ่มแล้วให้ผู้เรียนคิดว่าในพื้นที่บริเวณใกล้ๆ
โรงเรียน มีอะไรที่น่าเรียนรู้
โดยให้เด็กใช้เวลาว่างนอกชั่วโมงเรียนหรือวันหยุดทำกิจกรรมนี้
ก่อน
ลงมือปฏิบัติ ครูยกตัวอย่าง “ถนนเกียกกาย”
ที่อยู่หน้าโรงเรียนว่าเป็นถนนสายปฏิวัติ
เพราะมีหน่วยงานทหารหลายหน่วยงานตั้งอยู่รายรอบ
เวลาเกิดปฏิวัติแต่ละครั้งจะมีรถทหารใช้เส้นทางถนนนี้ในการเดินทางไปรัฐสภา
ไปทำเนียบรัฐบาล และมีการปิดถนนบริเวณหน้าโรงเรียนเป็นอันดับแรก
เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ
จาก
นั้นให้ผู้เรียนเลือกสถานที่หรือบริเวณที่เขาจะไปค้นหาประวัติศาสตร์ที่พวก
เขาอยากเรียนรู้ ทั้งนี้
ครูไม่ได้กำหนดรูปแบบของโครงงานว่าควรจะออกมาในรูปแบบใด
แต่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนคิดเองว่าแต่ละกลุ่มจะนำเสนอในรูปแบบใด
ซึ่งพบว่าระหว่างทำโครงงานเด็กจะรู้สึกสนุกสนานมาก
และแต่ละกลุ่มก็จะแข่งขันกันปิดเป็นความลับว่าทำเรื่องอะไร
ระหว่างทำกิจกรรม แต่ละกลุ่มจะต้องเขียนโครงเรื่องมาให้ครูดูก่อน
โดยครูจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาเป็นระยะๆ
จะ
เห็นว่าในกระบวนการสอนดังกล่าวข้างต้น
ทำให้ผู้เรียนได้รู้วิธีการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ตั้งแต่
เริ่มวางแผนการทำงานที่ต้องพอประมาณกับเวลา เพราะนักเรียนชั้น ม.6
มีข้อจำกัดด้านเวลามาก ฉะนั้นจึงจะต้องทำอะไรที่พอดีกับเวลาที่มีอยู่
การ
วางแผนก็จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน
โดยระหว่างที่เขาทำงานและมาปรึกษากับครูเป็นระยะๆ
นั้นครูก็จะแนะนำว่าเมื่อมีเวลาน้อย
ก็ต้องทำให้พอเหมาะพอดีตามเหตุผลของแต่ละชิ้นงาน
เพราะหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เนื้อหาแต่เป็นหลักการที่จะนำไปใช้
เป็นแนวทางในการปฏิบัติ
ดังนั้นจึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกเรื่องที่ทำ
และ
หากนักเรียนต้องทำเป็นหนังสือขาย
ทำอย่างไรให้มีความน่าสนใจเหมือนหนังสือบนแผงหนังสือ
สิ่งเหล่านี้เป็นโจทย์ที่ครูปริศนามอบให้เมื่อนักเรียนมาปรึกษา
และในที่สุดเด็กๆ ก็เลือกเขียนในแบบของตัวเองเสร็จแล้วก็นำมารวมเป็นเล่ม
รายงานเล่มนี้จึงไม่เหมือนรายงานทั่วไปแต่เป็นเหมือนหนังสือรวมเรื่องสั้น
งานชิ้นนี้จึงเป็นความภาคภูมิใจของครูปริศนา
ขณะที่นักเรียนเองก็มีความภาคภูมิใจในผลงานตนเองเช่นกัน
การขยายผลสู่ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ
การ
ขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในแบบของโรงเรียนโยธินบูรณะ
มีลักษณะเป็น bottom up คือ ข้างล่างเสนอขึ้นไป
ปัจจัยที่เอื้อให้การขับเคลื่อนของโรงเรียนโยธินบูรณะมีการพัฒนาอย่างต่อ
เนื่อง คือ ผู้อำนวยการโรงเรียนและฝ่ายบริหารที่ยึดหลักกระจายอำนาจ
โดยจะเปิดโอกาสให้ทุกคนทำงานอย่างเท่าเทียมกัน
เปิดโอกาสให้คิดเหมือนกับที่ครูทำกับเด็ก
เปิดโอกาสให้ครูมีส่วนร่วมที่จะทำอะไรก็เสนอไปได้
ท่านมีหน้าที่ส่งเสริมสนับสนุน
โดยในเรื่องนี้ท่านผู้อำนวยการเห็นด้วยในการนำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงไปใส่
ไว้ในวิสัยทัศน์ของโรงเรียน และทำยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนไปในฝ่ายต่างๆ
ของโรงเรียน
ครูปริศนากล่าวว่า ในบทบาทผู้รับผิดชอบการขับเคลื่อน ในปีแรกซึ่งครูยังไม่เข้าใจ จึงใช้วิธีการหาพันธมิตรมาเป็น
“หัวหมู่ทะลวงฟัน” คือ ไปหาเพื่อนครูในกลุ่มสาระต่างๆ ที่สนใจ เช่น ภาษาไทย ศิลปะ การงานอาชีพ ให้มาดู มาช่วยก่อน และเป็นลักษณะ “พาดูพาทำ” พอ
เป็นพันธมิตรกันได้แล้ว ในปี พ.ศ. 2549
โรงเรียนจึงนำไปบูรณาการในการเรียนการสอน โดยแบ่งออกเป็น 2 แบบ หนึ่งคือ
บูรณาการแบบสอดแทรกไปในหลักสูตรที่สอน โดยครูคนเดียว สองคือ
สอนโดยใช้โครงงาน มีการบูรณาการแบบสหวิทยาการ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้
ซึ่งการออกแบบการสอนเป็นจุดที่สำคัญ และในปีถัดมาจึงเปลี่ยนวิธีการใหม่
โดยออกแบบชิ้นงาน กำหนดชิ้นงาน มาก่อน
ตามด้วยการจัดการเรียนรู้ตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง และตัวชี้วัด
เมื่อสอนจบก็ตรวจชิ้นงาน