โรงเรียน
จุฬาภรณราชวิทยาลัยเพชรบุรีขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงทั้ง
องคาพยพ ด้วยการจัดอบรมครูทั้งโรงเรียน การดำเนินงานมี 5 รูปแบบ เรียกว่า
“ปัญจสาขา” ที่เปรียบเหมือนแม่น้ำ 5 สาย
ต้นน้ำหมายถึงวิสัยทัศน์ของโรงเรียน แม่น้ำป่าสักแทนเรื่องการบริหาร
แม่น้ำปิงแทนเรื่องการเรียนการสอน แม่น้ำวังแทนแหล่งเรียนรู้
แม่น้ำยมแทนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และแม่น้ำน่านคือชีวิตหอพัก
เน้นให้ครูและเด็กเข้าใจนิยามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงก่อน
เมื่อครูและเด็กเข้าใจแล้ว จึงให้รู้จักวิเคราะห์ตามหลัก 3 ห่วง 2 เงื่อนไข
4 มิติ แต่ข้อสำคัญคือเมื่อวิเคราะห์แล้วต้องลงสู่การปฏิบัติด้วย
ผ่านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพราะเป็นกิจกรรมที่ฝึกให้เด็กได้ใช้ ได้คิด
ซึ่งทุกปีการศึกษาโรงเรียนจุฬาภรณฯ
จะมีการจัดค่ายเศรษฐกิจพอเพียงให้น้องใหม่ชั้น ม. 1 และ ม.4 ได้เรียนรู้
ผ่านกระบวนการพี่สอนน้อง โดยเด็ก ม.6 เป็นคนคิดวางแผนทั้งหมด
ซึ่งแผนการจัดค่ายนี้ต้องนำหลักปรัชญาฯ มาใช้วางแผนด้วย
การขับเคลื่อนหลักปรัชญาฯ ลงสู่ครูของจุฬาภรณฯ มี 3 วิธีคือ 1. พูดบ่อยๆ
พุดทุกครั้งที่ประชุม 2. จัดนิทรรศการแสดงผลงานของครู หากครูคนไหนไม่ทำงาน
ก็จะไม่มีผลงานมานำเสนอ และ 3. ประกวดการสอนของครูทุกภาคเรียน
โดยให้ครูแต่ละกลุ่มสาระเลือกมาว่าใครสอนดีให้ส่งเข้าประกวด
จุด
เริ่มต้นความสนใจเรื่องการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของ
โรงเรียนจุฬาภรณฯ เพชรบุรี เริ่มตั้งแต่เมื่อครั้งที่มีการปฏิรูปการศึกษา
มีการแบ่งเป็นเขตพื้นที่การศึกษา และการปฏิรูปโครงสร้าง
สมัยก่อนโรงเรียนแต่ละแห่งต่างคนต่างอยู่ จะทำงานก็ได้ ไม่ทำก็ได้
ช่วงนั้นทำงานไม่สนุก แต่โชคดีปี พ.ศ. 2547
สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดให้มีการประกวดเรียงความ
เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง เด็กนักเรียนของจุฬาภรณฯ
ชนะการประกวดเรียงความเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้ ดร.ปรียานุช
พิบูลสราวุธเล็งเห็นว่าโรงเรียนน่าจะมี “ต้นทุน” ที่ดี จึงตามมาดู พร้อมกับชักชวนเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้เป็นต้นแบบแก่โรงเรียนอื่นๆ
ตอน
ที่ท่านชวนยอมรับว่าเราไม่รู้เลยว่าเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร
แต่ด้วยความคิดว่าถ้าเราไม่ทำงาน สมองเราก็จะนิ่งอยู่อย่างนี้
แม้ตอนนั้นจะยังไม่รู้ว่าต้องทำอะไร
แต่เชื่อและมั่นใจว่าคนชักชวนเขาต้องรู้ว่าจะให้เราทำอะไร
เพราะคิดว่าสิ่งที่ได้คือเราได้เรียนรู้ จึงรับทำงาน และได้ไปอบรม
ก่อนอบรมเข้าใจว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเกษตร
แต่เมื่อได้อบรมแล้วจึงรู้ว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็น “หลักคิด” เมื่อ
รู้เช่นนี้แล้วก็รู้เลยว่าเราคนเดียวเคลื่อนไม่ได้ จะต้องมีคนช่วย
ต้องมีคนรับผิดชอบจึงแต่งตั้งหัวหน้าฝ่ายวิชาการ (อาจารย์ประทีบ เมืองงาม)
เป็นหัวหน้าโครงการขับเคลื่อน แล้วส่งอาจารย์ประทีปไปอบรม
หลังอบรมเสร็จก็มานั่งคุยกันว่าเราทั้ง 2 คนเข้าใจตรงกันหรือไม่
เมื่อเข้าใจตรงกันแล้ว ก็คิดต่อว่าการ
จะขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงทั้งโรงเรียนลำพังเราแค่ 2
คนคงทำไม่ได้ ถ้าครูทั้งโรงเรียนไม่เข้าใจ ตอนนั้นวิธีการของจุฬาภรณฯ
คือจัดอบรมครูทั้งโรงเรียนพร้อมกัน มี ดร.ปรียานุช
พิบูลสราวุธไปเป็นวิทยากรให้ ท่านรู้ว่าหลักปรัชญาฯ เป็น “หลักคิด”
สิ่งที่ต้องใช้มากคือ “การวิเคราะห์” ท่านก็ฝึกให้เราวิเคราะห์
หลังอบรมหนึ่งวัน สิ่งแรกที่เราทำคือ “ทดลอง” โดย
คิดถึงโครงการของในหลวงว่าเวลาที่ท่านจะทำอะไร ท่านจะทดลองก่อน
เราทดลองนำโครงการที่ล้มเหลวมาวิเคราะห์ว่าที่ล้มเหลวเพราะอะไร
ซึ่งการทดลองครั้งนั้นทำให้เราได้รู้ว่างานอะไรก็ตามทั้งที่สำเร็จและไม่
สำเร็จ
ถ้าครูสามารถนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปวิเคราะห์จะทำให้เราได้คำตอบ เรา
พบว่างานที่ล้มเหลวคืองานที่ขาดหลักปรัชญา 3 ห่วง 2 เงื่อนไข
จึงเริ่มนำงานอื่นๆ ทุกงานมาวิเคราะห์ ยิ่งวิเคราะห์ก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น
จึงเริ่มให้ครูวิเคราะห์งานทุกงานทั้งก่อนและหลังดำเนินงาน เมื่อ
ครูเห็นเริ่มตัวอย่าง
เราจึงทำโครงการขึ้นมาให้ครูเห็นตัวอย่างของการบูรณการของการเรียนการสอน
โดยตอนแรกจัดในรูปของค่ายก่อน ไม่ได้จัดในห้องเรียน
เพราะในห้องเรียนยังมองเห็นภาพไม่ชัด แต่ค่ายจะเห็นชัด
เพราะเป็นการเรียนปนเล่น เราจึงใช้วิธีบูรณาการไปสู่การสอน ให้ความรู้เด็ก
ให้เด็กนำไปใช้ในฐานการเรียนรู้ รวมถึงเริ่มให้เด็กในโรงเรียนเริ่มวิเคราะห์กิจกรรมก่อนดำเนินงานและหลังดำเนินงานเช่นกัน เช่น
เรื่องการจัดค่ายต่างๆ เป็นต้น เมื่อเริ่มให้ครูและเด็กวิเคราะห์หลัก 3
ห่วง 2 เงื่อนไขได้แล้ว ขั้นต่อไปคือการนำหลักปรัชญาฯ ลงไปในทุกภาคส่วน
จากนั้นก็จัดทำเป็นวิสัยทัศน์ของโรงเรียน
โครงการทุกโครงการของโรงเรียนครูต้องวิเคราะห์ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้
ได้ ถือเป็นข้อกำหนดของโรงเรียน
การ
ขับเคลื่อนหลักปรัชญาฯ ของเราจะใช้วิธีพูดบ่อยๆ
พุดทุกครั้งที่ประชุม ใช้งานตามงาน
วิธีการที่จะดูว่าครูนำไปบูรณาการจริงหรือไม่
ก็ใช้วิธีการจัดนิทรรศการแสดงผลงานของครูแทนการให้ผู้อำนวยการเดินไปดู ให้
ครูไปหาเขตพื้นที่การศึกษา หาเจ้าภาพ หางบประมาณมา แล้วจัดอบรม
ให้คนในเขตพื้นที่การศึกษาไปดู ให้ครูและเด็กเป็นวิทยากร
ใช้สถานที่ในโรงเรียนจัดงาน ให้ครูทั้งเขตพื้นที่การศึกษามาอบรม
แล้วให้ครูของเราเป็นผู้จัดนิทรรศการทุกกลุ่มสาระ “เป็นการจัดงานเพื่อตาม
งาน” เพราะถ้าครูไม่ทำงาน ก็จะไม่มีผลงานมานำเสนอ
นอก
จากนี้ยังมีการประกวดการสอนของครูทุกภาคเรียน
โดยให้ครูแต่ละกลุ่มสาระเลือกมาว่าครูคนไหนที่ใครสอนดีก็ส่งเข้าประกวด
รางวัลก็ไม่มีอะไรมาก มีเพียงแค่เกียรติบัตรว่าใครจะได้เหรียญเงิน
เหรียญทอง พอครูเริ่มประกวดการเรียนการสอน เราจะเห็นแววของการเป็นวิทยากร
เมื่อมีคณะมาดูงาน ตอนแรกเราก็ตื่นเต้น แต่หลังๆ ก็เริ่มง่ายขึ้น
รู้สึกสนุกทั้งครูและเด็ก เรามักบอกเด็กว่าการที่เรายิ่งเป็นผู้ให้
เรายิ่งได้ประโยชน์ เราพูดมากเท่าไร เราได้ความรู้มากเท่านั้น
แม้แต่ตัวเด็กเองก็บอกว่าการเป็นวิทยากรเป็นเวทีให้เขาได้ฝึกพูดในที่ชุมชน
เพราะคนที่มาฟังมีทั้งชาวบ้าน ครู อาจารย์ นักศึกษาระดับปริญญาตรี โท
และเอก เราจึงบอกเด็กว่าขณะที่เราเป็นผู้เสียสละ เราต้องรับผิดชอบด้วย
ไม่มีอะไรที่เราได้มาฟรีๆ เด็กต้องตามการเรียนให้ทันเพื่อน
ซึ่งอาจทำให้เขาเสียเวลามากขึ้น แต่เขาก็ได้มากขึ้น
นี่คือสิ่งที่เราสอนเด็ก และเด็กก็บอกว่าเขาได้ประโยชน์
เวลาเขาเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัย สิ่งนี้ช่วยเขาได้จริงๆ
และเขาก็กลับมาเล่าให้น้องๆ ฟัง
แต่
ใช่ว่าที่จุฬาภรณจะทำกิจกรรมแบบนี้ตลอดเวลา
เพราะความที่เรามีนิสัยไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆ ชอบอะไรที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
กิจกรรมที่ทำจึงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อจะได้ไม่เบื่อ
แต่ว่าต้องทำอย่างต่อเนื่อง เช่น เราอาจจะไม่ใช้การประกวดการสอนทุกเทอม
แต่เราอาจจะต้องมีกิจกรรมอะไรเพิ่ม
ตอนนี้คิดอยากทำเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้สัปดาห์เว้นสัปดาห์
เราต้องคิดไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ต้องคิดทำเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
เนื่อง
จากจากโรงเรียนจุฬาภรณแป็นโรงเรียนประจำ เด็กต้องอยู่หอพัก
เราจึงขับเคลื่อนทั้งองคาพยพ โดยได้รูปแบบมา 5 เรื่อง เรียกว่า “ปัญจสาขา”
ที่
เปรียบเหมือนแม่น้ำ 5 สาย ต้นน้ำหมายถึงวิสัยทัศน์ของโรงเรียน
แม่น้ำป่าสักแทนเรื่องการบริหาร แม่น้ำปิงแทนเรื่องการเรียนการสอน
แม่น้ำวังแทนแหล่งเรียนรู้ แม่น้ำยมแทนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
และแม่น้ำน่านคือชีวิตหอพัก
เคยมีผู้ถามว่าชื่อ “ปัญจสาขา” มี
นัยยะมีความหมายหรือไม่
ตอนแรกที่ตั้งชื่อไม่ได้คิดถึงนัยยะหรือความหมายใดๆ
คิดแค่ว่าพูดให้ที่ผู้มาเรียนรู้ดูงานเห็นภาพชัดว่า ทำไมถึงใช้ ปิง วัง ยม
น่านไหลสู่เจ้าพระยา เราบอกว่าปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงใช้กับคนทั้งประเทศ
แล้วแม่น้ำเจ้าพระยาคือแม่น้ำสายหลักของประเทศ ตอนแรกคิดว่าเราทำ 5
เรื่องเพื่อให้ไหลไปสู่ตัวนักเรียน แต่เมื่อมีคนถามเรื่องนัยยะ
เราก็ไปหาคำตอบ และพบว่ามีความหมายดีมากคือ
แม่น้ำป่าสักเดิมเป็นแม่น้ำที่มีปัญหาทั้งน้ำแล้งน้ำหลาก
แต่ด้วยสายพระเนตรที่กว้างไกลของพระองค์ท่านจึงให้สร้างเขื่อนป่าสักชล
สิทธิ์เป็นแก้มลิงเพื่อเก็บน้ำไว้ป้องกันน้ำท่วม
แม่น้ำป่าสักจึงเหมาะในเรื่องการบริหาร เพราะเป็นการแก้ปัญหา
ส่วน
แม่น้ำปิงกับแม่น้ำน่านคือแม่น้ำสำคัญที่ไหลรวมกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา
เราก็มองว่าสิ่งสำคัญที่ตัวเด็กคือเรื่องของการเรียนรู้
เขาต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นแม่น้ำปิงพูดถึงเรื่องการเรียนรู้
การเรียนการสอน แม่น้ำวังเป็นแม่น้ำสายสั้นๆ ที่ไหลมารวมกับแม่น้ำปิง
เราบอกว่าในเรื่องการเรียนรู้ การเรียนการสอนมันไม่ได้เรียนอยู่ในห้องแคบๆ
มันมีแหล่งเรียนรู้มาก เพราะฉะนั้นการเรียนรู้นี้ต้อง
เสริมด้วยแหล่งเรียนรู้ ส่วนแม่น้ำยมมีแม่น้ำสายสั้นๆ
ไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำยมมีความหลากหลายทางชีวิต
เราก็บอกว่ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเป็นกิจกรรมที่เติมเต็มศักยภาพเด็ก
จึงต้องมีความหลากหลาย ส่วนแม่น้ำน่านเป็นแม่น้ำสายที่ยาวที่สุด
ไหลมารวมกับแม่น้ำปิงเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา
เราก็บอกว่าการดำเนินชีวิตด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงต้องดำเนินทั้ง
ชีวิต ซึ่งเป็นชีวิตที่ยาวนาน แต่ที่เรานำมาเปรียบเทียบกับชีวิตหอพัก
เพราะเด็กที่นี่เป็นนักเรียนประจำ แต่หากโรงเรียนอื่นจะนำเรื่องนี้ไปใช้
แม่น้ำน่านก็คือการดำเนินชีวิตที่บ้านนั่นเอง
จุด
อ่อนของโรงเรียนจุฬาภรณฯ เพชรบุรีคือ เรื่องชุมชน
เพราะเราเป็นโรงเรียนประจำ เด็กที่มาเรียนไม่ใช่เด็กในพื้นที่
และด้วยความเป็นโรงเรียนประจำ
การออกไปทำกิจกรรมข้างนอกตอนเย็นทุกวันจึงทำได้ยาก
แต่ถามว่าเรามีส่วนไหมที่นำหลักปรัชญาฯ ไปใช้ สำหรับเด็กอาจจะได้
แต่สำหรับชุมชนเรายังไม่มั่นใจ เช่น เด็กทำโครงการในวิชาสังคม
ครูบอกว่าต้องการให้เด็กมีจิตอาสา
จึงให้โจทย์เด็กไปว่าปัจจุบันกำลังเกิดภาวะโลกร้อนขึ้นนักเรียนจะทำอย่างไร
เด็กก็ทำโครงการชื่อว่า “ปลูกต้นไม้ฝากไว้กับชุมชน” โดยนำหลักปรัชญาฯ
ไปวิเคราะห์ว่า ถ้าเขาไปปลูกต้นไม้เหมือนหน่วยงานราชการต่างๆ
ไปปลูกแล้วทิ้งไว้ให้ธรรมชาติดูแล ท้ายที่สุดต้นไม้ก็ตาย
แต่วิธีการของเด็กๆ คือ เขาเข้าไปในชุมชน
พูดคุยกับผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่าขอปลูกต้นไม้ 1 ต้นต่อบ้านหนึ่งหลัง
เน้นไปที่ไม้ผล
โดยบอกเหตุผลว่าพวกเขาไม่มีเวลาออกไปในชุมชนเพื่อดูแลรดน้ำต้นไม้
เพราะเขาเป็นนักเรียนประจำ ถ้าวันไหนเขาไปไม่ได้
คนที่จะมาช่วยดูแลคือเจ้าของบ้าน
และต้นไม้เมื่อเติบโตผลิดอกออกผลก็ให้เป็นผลผลิตของเจ้าของบ้านไป
เหมือนเราได้สัมพันธ์กับชุมชนไปในตัว
แต่ว่าชุมชนไม่ได้มาทำตามโรงเรียนเท่านั้น
โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมพลังผู้บริหารศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา ณ ศูนย์ฝึกอบรมธนาคารไทยพาณิชย์ หาดตะวันรอน ชลบุรี
6 มิ.ย. 2556