การบูรณาการเศรษฐกิจพอเพียงกับการสอนวิชาคณิตศาสตร์ เราได้ถกเถียงกันในกลุ่มว่าเวลาสอนเศรษฐกิจพอเพียงลงสู่ผู้เรียน
เราจะสอนอย่างไร บ้างก็บอกสอนเรื่องเศรษฐกิจก่อน
สัปดาห์ต่อไปจึงสอนมิติเรื่องสังคม
ตัวเองเลยบอกว่าการสอนผู้เรียนในแต่ละคาบ หรือในแต่ละกิจกรรม
ควรจะให้ผู้เรียนได้รับความรู้ในการพัฒนาอย่างสมดุลทั้ง 4 ด้านดังที่
ดร.ปรียานุช พิบูลสราวุธ
ได้กล่าวไว้ว่าในการเรียนการสอนนักเรียนทั้งหลายทั้งปวง
ถ้าจะก่อให้เกิดการเรียนรู้ ควรทำให้เขาเรียนรู้ทั้ง 4 ด้าน ทั้งด้านศาสนา
เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
เราก็มาคิดตรงนี้ว่าวิธีการอย่างไรจะสอนเด็กให้เขาได้ตรงนี้
ในกลุ่มจึงบอกว่าการที่เราจะฝังให้ผู้เรียนได้คิดลุ่มลึก ก็คือการฝังสมอง
ซึ่งสมองคือความคิด ทำอย่างไรให้เด็กนักเรียนเขาคิดได้อย่างเรา
ทำอย่างให้เด็กเขาคิดได้อย่างผู้บริหาร คิดได้อย่างในหลวง คิดได้อย่างทุกคน
เมื่อเราเกิดความคิดแล้วสมองก็จะสั่งไปถึงการกระทำ ดังนั้นใน what
ของเราคือจะสอนอย่างไรให้นักเรียนได้เกิดกระบวนการคิดตามหลักของเศรษฐกิจพอ
เพียง
![]()
why
เราใช้อะไร
เราใช้เนื้อหาสาระในการสอนเป็นกระบวนการเชื่อมให้นักเรียนได้เกิดทักษะของ
การคิด
ทีนี้ขออนุญาตยกตัวอย่างนิดหนึ่งเพราะตัวเองจะชำนาญเฉพาะการสอนคณิตศาสตร์
ซึ่งคณิตศาสตร์มีหลายๆ คนบอกว่า
บูรณาการได้ยากมาก
แต่เมื่อฟังอาจารย์วารินกลับไปอาจจะได้แนวคิดว่าการบูรณาการกับคณิตศาสตร์
ไม่ใช่เรื่องยาก จริงๆ แล้วก่อนสอน คุณครูอาจจะใช้ KM
ให้นักเรียนเขาได้พูดสักนิดหนึ่งหรือเขียนก็ได้ว่าเขามีความดีความงามหรือ
ความภาคภูมิใจอะไรบ้าง ทุกคนก็เขียนมาหมด อาจารย์ก็เก็บแผ่นตรงนี้
เก็บมาเป็นข้อมูลสำคัญ เราจะได้ทราบว่าผู้เรียนแต่ละคนเป็นอย่างไร
อาจารย์ก็ใช้สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวกับผู้เรียนหรือภูมิปัญญาของผู้เรียน
สิ่งที่ภาคภูมิใจที่เขาเขียนมาทั้งหมด อาจารย์เอามาสร้างเป็นใบความรู้
เอามาสร้างแล้วสื่อคณิตศาสตร์ลงไปหรือสื่อเนื้อหาสาระบูรณาการลงไปให้เขาได้
เรียนรู้
![](http://www2.scbfoundation.com/photo/knowledge/news_a_varin_2.jpg) จุด
นี้อยากจะขออนุญาตบอกนิดหนึ่ง อาจจะเกินประเด็นไปบ้าง
แต่อยากบอกให้รู้ว่าว่ากระบวนการ KM มีประโยชน์จริงๆ
เพราะว่าตัวเองเข้าไปถึงห้องเรียนก็บอกนักเรียนว่าตัวเองมีความภาคภูมิใจ
อะไรหรือช่วงปิดเทอมเราไปทำความดีอะไรมาบ้าง พอดีสุ่มไปเจอเบอร์ 5
เขาก็ออกมาบอกว่าเขาไม่มีโอกาสที่จะไปเที่ยวตรงนั้น
ไม่มีโอกาสไปสร้างความภาคภูมิใจที่นั่นที่นี่ เพราะเขาไม่มีพ่อแม่
แต่ถามว่าความดีที่เขาทำวันนั้นคืออะไร
เขาบอกว่าความดีของเขาคือการปฏิบัติธรรม เขาปฏิบัติธรรมทุกวัน
ถามว่าแล้วครูจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอปฏิบัติธรรม
เขาบอกว่าเขาปฏิธรรมตั้งแต่ปี 2549 ปลายปีจนบัดนี้ยังปฏิบัติธรรม
ครูก็ถามว่าแล้วครูจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอปฏิบัติธรรมจริง
เขาก็บอกว่าพรุ่งนี้เขาจะเอาหลักฐานมาให้ดู
แล้วเขาก็นำสมุดเล่มนั้นมาให้ดูจริงๆ เขาปฏิบัติธรรมทุกวันที่เขามีโอกาส
แล้วเขาก็บันทึกทุกวัน เล่มหนึ่งหมดไปแล้วเล่มสองก็มา
สิ่งเหล่านี้จึงเกิดความคิดขึ้นว่าทำไมผู้บริหารจึงไม่เห็นสิ่งที่เด็กทำดีแบบนี้มาเป็นแบบอย่าง ทุกวันหน้า
เสาธงจะมีแต่ประกาศชื่อนักเรียนที่ไปชิงอันนั้นไปแข่งขันอันโน้นอันนี้
ทำไมเราไม่เปิดโอกาสให้เด็กที่ทำความดีได้มาเผยแพร่ตรงนี้บ้าง
เลยนำเอาบันทึกของนักเรียนไปเสนอท่านผู้บริหาร ท่านผู้อำนวยการก็ดีใจหาย
ท่านฟังอย่างสงบ ดูแบบอย่าง และจำชื่อเด็กไว้ พอวันรุ่งขึ้นเป็นวันจันทร์
ท่านก็เรียกชื่อกิตติพงษ์ให้ขึ้นมาหน้าเสาธง
แล้วกิตติพงษ์ก็ทำหน้าที่เป็นพิธีกรหน้าเสาธงในเรื่องการทำสมาธิ
แล้วเขาก็ทำได้เป็นอย่างดี และเมื่อเด็กคนนี้ได้รับโอกาส
พฤติกรรมของเขาที่เปลี่ยนแปลงไป
อยากจะชี้ประเด็นตรงนี้ว่ากิตติพงษ์เป็นเด็กที่เรียนอ่อน
เวลาเรียนเขาก็จะอยู่หลังห้อง จะทรุดตัว ไม่ค่อยจะมองอาจารย์ที่สอน
เทอมที่แล้วเขาก็ได้เกรด 1 ในวิชาคณิตศาสตร์ พอตอนนี้เขาได้ค้นพบ
เราได้ค้นพบเขา ให้เขาได้มีโอกาสแสดงออก
ทุกวันนี้กิตติพงษ์เขาเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียน
จากที่เขาอยู่หลังห้องในช่วงแรกๆ เขาก็จะชะเง้อมองอาจารย์ที่สอน
เพราะเวลาที่เราเรียน เราจะเรียนในห้องคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์บัง
มองไม่ค่อยเห็น แล้วนานๆ อาทิตย์หนึ่งหรือบางทีเดือนหนึ่ง
เราก็อาจจะให้เขามาพูดอะไรหรือให้นักเรียนทำสมาธิ
เขาก็จะพูดสอดแทรกเหมือนมหาเลย แล้วเมื่อวันก่อนมูลนิธิสดศรีฯ
เข้าไปสัมภาษณ์เราก็ได้เห็นการเปลี่ยนพฤติกรรมของกิตติพงษ์คือเขาเปลี่ยนมา
นั่งข้างหน้าและมีการซักถามกัน |