พัชรรีภรณ์ ติ้งหวัง : บทสัมภาษณ์เยาวชนเด่น โครงการสืบสานภูมิปัญญาจักรสานเตยหนามสู่การใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน

บทสัมภาษณ์เยาวชนเด่น โครงการสืบสานภูมิปัญญาจักรสานเตยหนามสู่การใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน


เยาวชนเด่น

ชื่อ - นามสกุล พัชรรีภรณ์ ติ้งหวัง ชื่อเล่น ไหม

การศึกษา ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการพัฒนาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง




ให้ไหมแนะนำตัวก่อน

สวัสดีค่ะ นางสาวพัชรีภรณ์ ติ้งหวัง หรือว่าน้องไหม ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง สาขาการพัฒนาชุมชน ราชภัฏลำปาง


ทำไมถึงเลือกเรียนสาขานี้

ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะเรียนสาขานี้ แทบไม่รู้จักด้วยซ้ำค่ะ ตั้งแต่มีโครงการเข้ามาในหมู่บ้าน พอได้ลองทำได้ศึกษารู้สึกว่าตัวเองถนัดด้านนี้ก็เลยมาเรียนต่อ


ที่บอกว่าถนัดด้านนี้คือถนัดด้านไหน

การเข้าร่วมโครงการทำให้ได้ลงชุมชน ได้คุยและเข้าหาคนในชุมชนมากขึ้น ได้รู้ประวัติหมู่บ้านของตัวเอง อีกทั้งได้ไปศึกษาชุมชนอื่น และได้ลงมือพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ในหมู่บ้าน จนอยากทำเรื่องอื่นๆ ให้เกิดผลดีแก่ชุมชนเพิ่มมากขึ้น เลยอยากเรียนต่อ เพื่อกลับไปพัฒนาชุมชน


ตรงไหนที่หนูรู้สึกชอบที่สุด จนหนูตัดสินใจมาเรียนต่อสาขานี้ มีเหตุการณ์ตอนไหน

จุดที่ชอบที่สุด คือ ช่วงที่ได้มีโอกาสเยี่ยมชมดูงานกับทางมูลนิธิฯ ที่ลำพูนค่ะ รู้สึกประทับใจมาก เพราะได้ออกพื้นที่ ได้เที่ยวด้วย ได้ศึกษาความรู้รอบตัวไปด้วย


พี่ให้ไหมเล่าย้อนไปตอนปีแรก ตรงที่ว่าเราเข้ามาร่วมโครงการได้อย่างไร ใครเป็นคนชักชวนเราเข้ามา

ตอนปีหนึ่ง มีพี่คนหนึ่งชื่อว่า บังนัด (3.18) เป็นพี่ชายที่เป็นญาติกันอยู่ข้างบ้าน มาถามเราว่าสนใจทำโครงการไหม เราตอบว่า ทำไม่ได้หรอก เป็นเด็กจะทำโครงการได้อย่างไร ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะตอนนั้นยังอยู่ ม.4 บังนัดก็บอกว่าลองดู ไม่ได้ให้มาทำเลย แค่ให้มาเป็นสมาชิกเฉย ๆ ก็โดนหลอกว่าไปเป็นสมาชิกเฉย ๆ ก็เข้าไปสนุกสนาน จากนั้นบังนัดมี พี่หรา (ยูนีร่า ชอบงาม) เข้ามาเชิญพี่นัดอีกทีหนึ่ง ช่วงปีแรกพี่หราเป็นพี่เลี้ยงของชุมชนบ้านนาพญา เขาเป็นคนดูแลทุกอย่างให้กับเยาวชน แล้วหลัง ๆ ไหมได้เจอกับพวกบังเชษฐ์ที่เข้ามาทำกระบวนการเรียนรู้กับเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ เช่น การทำนาฬิกาประจำชีวิต แต่ละวันเราทำอะไร นิสัยของเราเป็นอย่างไร เพื่อห้เรารู้จักนิสัยของตัวเองมากขึ้น ต่อมาบังนัดก็ไปทำงานที่ภูเก็ต ไหมเลยได้มาเป็นประธานเยาวชน ตอนนั้นตกใจมาก ทำไมมาโยนแบบนี้ ยังไม่ทันได้ทำงานอะไร ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเลย โยนมาให้เป็นประธานเยาวชน แต่ก็ทำหน้าที่ตลอดมา อะไรไม่เข้าใจก็พยายามถามพี่เชษฐ์ พี่หรา สุดท้ายก็ทำได้


ตอนแรกที่เราโดนชวนเข้ามาทำโครงการ ตอนที่บังนัดยังไม่ได้ไปภูเก็ต ไหมทำหน้าที่อะไรอยู่บ้าง

เป็นสมาชิกค่ะ ทำหน้าที่ช่วยเหลือ พี่เขาบอกให้ทำอะไรก็ทำ ก็ช่วยกันคิดออกมาเป็นหัวข้อ กว่าจะตัดสินใจเลือกทำโครงการประวัติหมู่บ้านก็ใช้เวลาเป็นอาทิตย์ เพราะว่าชุมชนบ้านนาพญามีเอกลักษณ์ ทรัพยากรหลายอย่างมาก ไม่รู้จะเอาเรื่องไหนขึ้นมาทำ ปรึกษากันกว่าจะได้เรื่องนั้นขึ้นมาค่ะ


แล้วหนูรู้สึกไหมว่า มันจริงจังมากเลย เพราะว่ามันต้องรับผิดชอบยาวด้วย มันไม่เหมือนงานวันเดียวเสร็จ

ใช่ค่ะ ตอนปีหนึ่งรู้สึกว่างานมันหนัก เพราะบางทีเลิกเรียนแล้วต้องมานั่งประชุม กว่าจะเลิกเรียนกลับถึงบ้านก็ห้าโมงกว่าแล้ว หกโมงนัดประชุมไปคุยอีกแล้ว ทำให้รู้สึกว่าเวลาว่างอยู่ไหน เหนื่อยนะ ไม่มีเวลาทำงานทำการบ้าน นอนดึกไปอีก แต่พอเริ่มไปเข้าค่าย มันสนุก เริ่มอยากไปเข้าค่าย พอมีกิจกรรมอบรมสื่ออบรมต่าง ๆ เข้ามา ทำให้หนูรู้สึกว่าหนูนำความรู้ไปใช้กับการเรียนได้ เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้เหนื่อยอย่างนั้น แต่เราได้เรียนรู้เพิ่มเติมอีกด้วย


ตอนนั้นคิดว่าเอาไปใช้ในการเรียนได้ เป็นเรื่องอะไรบ้าง

เดิมทีเป็นคนที่กล้าพูด แต่ไม่มีที่ให้แสดงออกเท่าไร ตอนอยู่โรงเรียน หนูพูดปกติ แต่ถึงหน้าชั้นเรียนก็โดนเพื่อนหัวเราะ เลยไม่มั่นใจในการพูด แต่พอได้ไปอบรมทำให้กล้าพูดมากขึ้น การเขียนก็ตรงประเด็นมากขึ้น เมื่อก่อนสรุปงานไปส่งครูก็ไม่ได้ตรงคำตอบ ยังจับประเด็นของหัวข้อไม่ได้ แต่พอได้ไปอบรม หลังจากนั้นเวลาสรุปการบ้านสรุปงานเป็นสองสามหน้า ครูบอกว่าทำได้ดีแต่ขอแค่สั้น ๆ ก็พอ

จากที่เป็นคนเรียนไม่ได้ เพราะเขียนไม่ตรงประเด็น พอเข้าร่วมโครงการเริ่มมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพูด การเขียน รวมไปถึงเทคนิคการถ่ายและตัดต่อวีดิโอ ปกติมัธยมคุณครูสั่งงานเกี่ยวกับการตัดต่อ เลยได้นำเทคนิคที่มูลนิธิได้จัดโครงการอบรมให้มาใช้ จนถึงตอนนี้ก็ยังใช้อยู่นะคะ เพราะทำโปรเจกต์ของมหาวิทยาลัยก็ต้องตัดต่อวิดีโอด้วย

มาเรียนต่อรู้สึกว่าวันนั้นที่เข้าร่วมโครงการไม่ได้เสียเวลาเปล่า เพราะที่เรียนอยู่ตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่โครงการสอนมาหมดไม่ว่าจะเป็นการเขียนโครงการหรือร่างโครงการวิจัย เราเคยผ่านประสบการณ์ตรงนั้นมา ตอนเรียนปีหนึ่งทำให้หนูมีประสบการณ์มากกว่าเพื่อนนิดหน่อย หนูก็ช่วยเหลือเพื่อนร่างโครงการได้ ทำให้หนูภูมิใจว่า เลือกทางที่ถูกแล้ว เดินทางที่ถูกแล้วในสิ่งที่ตัวเองชอบค่ะ


โอเค ตอน ม.4 ที่ได้เข้ามาร่วมโครงการเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เราเคยได้ทำอะไรเกี่ยวกับชุมชนบ้างไหม ที่ต้องไปสัมภาษณ์ ต้องไปเกี่ยวข้องกับคนในชุมชน

ก่อนที่โครงการนี้เข้ามา ต่างคนต่างอยู่ แม้แต่รุ่นพี่ ญาติ ก็ยังไม่ได้เจอกันเลยค่ะ ไม่เคยทำงานชุมชน หรือลงชุมชนแบบเช้าไปเรียนเย็นกลับบ้าน กับคนในชุมชนก็ไม่ได้พูดคุยกันเลย แต่พอเริ่มทำโครงการ ตัวเราเริ่มมีจิตสำนึกสาธารณะ เช่น เก็บขยะในชุมชน ร่วมทำงานกับผู้ใหญ่บ้าน อสม.ซึ่งชุมชนก็ต้องการความช่วยเหลือจากเยาวชนอยู่เรื่อย ๆ


แล้วเราเห็นการเปลี่ยนแปลงเรื่องความสัมพันธ์ของเรากับชุมชนอย่างไรบ้าง

ความสัมพันธ์ดีขึ้น เช่น ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ต้องการให้เด็กๆ เข้าไปคุยด้วยอยู่แล้ว เพราะเขารู้สึกโดดเดี่ยว แต่หลังจากที่ไหมกับเยาวชนเข้าไปหาและเข้าไปคุยอยู่เรื่อย ๆ เขาก็มีความสุข จึงทำให้เรามีความสุขตามไปด้วย ถ้าเรามาคุยกับเขาบ่อยๆ หรือว่าหาเวลาว่างมาคุย เขาจะรู้สึกอบอุ่น อย่างน้อยก็ยังมีคนที่อยากคุยกับเขาอยู่


เรารู้ได้อย่างไร ว่าผู้ใหญ่เขาอยากให้เราเข้าไปคุยด้วย

ปกติขี่รถผ่าน เขาก็นั่งคนเดียว บ้านเขาก็อยู่คนเดียว เราเห็นอยู่ว่าเขาอยู่คนเดียว แต่เราไม่ได้ไปคุยกับเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง อยู่อย่างไร กินอย่างไร เราไม่ได้เข้าไปรู้ถึงตรงนั้น แต่พอไปพูดคุย เขาก็พร้อมที่คุยกับเราจริง ๆ ผู้สูงอายุเขาบอกว่า เนี่ย ไม่เคยมีใครมานะ ถ้าว่าง ๆ ก็มาคุย ตอนนี้มาเรียนต่างจังหวัด เวลากลับบ้านแล้วไปหา เขาก็บอกว่า อย่าลืมมาคุยด้วยนะ อยากคุยด้วย ไม่ได้เจอกันนาน เป็นอย่างไรบ้าง เขาก็ถามทุกข์สุข จนถึงวันนี้แม่ก็บอกว่าเขายังถามอยู่นะ ว่าไหมจะกลับตอนไหน ไหมไปไหนแล้ว เห็นหายไป รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำไป เขาตอบรับเราอยู่ เขายังถามหาอยู่ ถึงไม่มีเราแล้ว


ก็สร้างความประทับใจให้เขาไว้

ใช่ค่ะ


ตอนที่บังนัดต้องออกจากชุมชนไปด้วยภารกิจของเขา ตอนนั้นไหมก็ต้องขึ้นมาเป็นประธานกลุ่มใช่ไหม

ค่ะ ขึ้นมาเป็นประธานกลุ่ม


รู้สึกอย่างไรบ้าง

ตอนนั้นรู้สึกว่าเป็นประธานกลุ่มก็คือน้องสุดในรุ่น ยังมีพี่ที่โตกว่าแต่ทำไมไม่เลือกพี่ ทำไมมาเลือกน้อง รู้สึกกังวลไปหมดค่ะเพราะอายุน้อยกว่าเพื่อน เขาจะเชื่อใจเราไหม เขาจะเชื่อถือเราหรือเปล่า ถ้าเราบอกอะไรไปเขาจะฟังเราไหม เพราะเขาอายุมากกว่า เขาเรียนรู้ได้มากกว่า


แล้วเหตุผลอะไร เราพอจะวิเคราะห์ได้ไหม ว่าทำไมบังนัดเขาถึงเลือกเรา อันนี้คือบังนัดเลือกเราใช่ไหม ไม่ใช่ให้คนอื่นโหวตเราขึ้นไป

ใช่ค่ะ บังนัดพูดกับพี่หราเลยค่ะ ถ้าออกให้ไหมเป็นแทน เมื่อบังนัดพูดแบบนั้นแล้ว ก็ถามกันในกลุ่มว่าได้ไหม คนในกลุ่มก็ว่าได้ คือกังวลไปหมด ด้วยความที่เป็นเด็กสุดในรุ่นตอนนั้น


งั้นถ้าให้เราลองมองตัวเอง เราคิดว่าตัวเอง เอาตอนนั้นก่อนนะ ตอนนั้นเรายังมองว่าตัวเองเป็นคนมีนิสัยหรือบุคลิกอย่างไร

เมื่อก่อนบุคลิกของหนู คือ ซุ่มซ่ามค่ะ นึกจะเต้นตรงไหนก็เต้น เพราะชอบ บางครั้งเวลาคนขี่รถผ่านเขาก็หัวเราะกัน ตามประสาเด็กด้วย จะทำอะไรก็ทำ มันไม่ได้มีความน่าเชื่อถืออะไร ไม่น่าจะมีใครมาเชื่อถือหนู หนูไม่ได้เป็นคนเรียบร้อย ความคิดไม่ได้เป็นผู้ใหญ่ในตอนนั้น เป็นคนอารมณ์ร้อน ถ้าไม่ถูกใจจะออกทางสีหน้าทันที แล้วก็พูดไปเลยว่าไม่พอใจ สีหน้าจะไปก่อนอารมณ์ เมื่อทุกคนเห็นรู้ทันทีว่าอารมณ์ไม่ดีแล้วนะ


ทำไมเขาถึงยอมรับเราเป็นประธานกลุ่ม ถ้าให้วิเคราะห์ตัวเอง

ด้วยความที่เป็นเด็กสุดในรุ่น พี่ให้ทำอะไรก็ทำ ทำแบบเล่น ๆ แต่ก็รับผิดชอบหน้าที่ตัวเอง น่าจะเป็นเรื่องนี้มากกว่า


ความรับผิดชอบนี้ มันเป็นความรับผิดชอบที่เราเต็มใจ หรือเรารู้สึกว่าเราก็ต้องทำเพราะพี่เขาบอก

ยอมรับค่ะ เข้าไปแรก ๆ ทำตามที่พี่บอกหมดเลย เพราะว่าตอนแรกเขามาดึงให้ร่วมทำโครงการก็เข้าเลย แต่พอหลัง ๆ มาเต็มใจเลย ยิ่งพอเขามอบหน้าที่นี้ให้ ยิ่งทำให้หนูต้องผลักดันตัวเองขึ้นมา จะอยู่แบบเดิมไม่ได้แล้วนะ เขามอบหน้าที่ให้เราแล้ว เราต้องมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เป็นผู้นำมากขึ้น อารมณ์ก็ต้องเก็บมากขึ้น ต้องใช้การพูดคุยมากขึ้น หน้าที่เราคือผู้นำ ต้องดูแลทุกคนให้ดีที่สุด


ตรงนี้เราคิดกับตัวเองได้เลย หรือว่าเราได้คุยกับพี่เลี้ยงมีพี่เลี้ยงแนะนำ เรื่องการที่เราจะต้องปรับปรุงพัฒนาตัวเองขึ้นมา

มันมีแรงกระตุ้นอยู่แล้ว พี่เลี้ยงเข้ามาพูดว่าเป็นผู้นำแล้วนะ หน้าที่ทุกอย่างเพื่อนในกลุ่มหวังไว้ที่ไหม หลังจากนั้นกลับมาคิดทบทวนตัวเอง แต่งานบางอย่างก็ให้คนอื่นทำด้วย ถึงจะเป็นผู้นำ ไหมไม่ได้เป็นคนรับผิดชอบคนเดียว บางเราก็ไม่รู้จึงต้องแบ่งให้คนอื่นบ้าง


แล้วเรารู้สึกว่ามันยากไหม ที่ต้องขึ้นมาเป็นผู้นำกลุ่มตอนนั้น

ตอนเด็กหนูยังไม่มีความคิดตรงนั้น หนูเลยรู้สึกว่ายาก ตอนที่รับหน้าที่ใหม่ ๆ งานทุกอย่างหนูถามพี่ก๊ะ จนหนูรู้สึกว่าพี่เขาจะรำคาญหรือเปล่า เป็นผู้นำอะไร ทำไมต้องถามทุกอย่าง ต้องไปถามคนอื่น ที่จริงผู้นำจะต้องหาความรู้ด้วยตัวเองแล้วไหม ผู้นำต้องรู้มากกว่าคนในกลุ่มหรือเปล่า


พี่ก๊ะเป็นสมาชิกในทีมหรือเป็นใคร

ใช่ค่ะ ตอนนั้นพี่ก๊ะเป็นสมาชิกในกลุ่มด้วยค่ะ ตอนนี้ก็เป็นพี่เลี้ยงคู่กัน


โอเค เราก็ทำโครงการไป แล้วเข้ามารับบทบาทเป็นประธานในโครงการแรก แล้วตอนนั้นพี่ก๊ะเขาทำตำแหน่งอะไรในกลุ่ม

ตอนนั้นพี่ก๊ะเป็นรอง


เขาเป็นพี่เราเยอะไหม

เป็นรุ่นพี่หนู 3 ปีค่ะ


แต่ตอนเราถาม เขาก็โอเคกับการให้เราขึ้นเป็นประธาน

ค่ะ เขาก็โอเคค่ะ ให้ไหมขึ้นมาเป็นประธาน เขาก็คิดได้ เขาทำได้ แต่เขาไม่ค่อยกล้าพูด แต่ไหมเป็นคนไม่ค่อยคิด แต่กล้าพูด ทำงานกับพี่ก๊ะมาตลอด ไม่เคยมีปัญหาอะไรกัน ทุกอย่างคือปรึกษากันตลอด


แล้วมีจุดไหนที่เราตัดสินใจมาทำโครงการปีที่สองต่อ

ย้อนกลับไปปีแรก ตอนที่ปิดโครงการ เราได้จัดค่ายให้เด็กในชุมชน หลังจากนั้นก็ถอดบทเรียนกับเด็กๆ เขามาถามว่าจะจัดค่ายอีกไหม จะมีอีกไหม ได้มาเล่นเกม ได้มาสนุกสนาน ตอนที่ทำค่าย บังปิงเคยไปเล่นกับเด็กผู้ชาย นิสัยของเด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กติดเกม แต่วันเข้าค่ายเขามาประมาณ 7 – 8 คน บังปิงถามว่าถ้ามีอีกจะมาไหม เด็กผู้ชายก็บอกว่าหาเงินมาให้ไหมล่ะ เดี๋ยวเขาทำเองปีหน้า พูดออกแนวกวนๆ พอบังเชษฐ์ถามว่าจะทำต่อไหม หนูไม่คิดอะไรเยอะ เพราะว่ายังมีน้องๆ รอจะทำต่ออยู่


ในจุดนั้นเรารู้แล้วหรือยัง ว่าถ้ามาทำต่อต้องเป็นพี่เลี้ยงแล้วนะ

ตอนนั้นที่รับโครงการแรก ๆ ก็ไม่ได้ชัดเจนว่าตัวเองจะต้องมาเป็นพี่เลี้ยงค่ะ รับโครงการมาก่อนแล้วหลังจากนั้นบังเชษฐ์บอกว่าเข้ามาทำงานในคณะทำงานของแอคทีฟเลยนะ เริ่มมาฝึกน้องปีสองแล้ว ตอนนั้นเข้าใจว่าเป็นแค่คณะทำงาน ทำงานในหมู่บ้าน พอสักพักหนึ่ง บังเชษฐ์ บอกว่า ปีนี้ให้ก๊ะกับไหมขึ้นเป็นพี่เลี้ยงเด็กด้วยนะ เพราะว่าเด็กผู้ชายเขาต้องการทำ เป็นกลุ่มของเขา บังเชษฐ์ให้เขาตั้งประธานกันเอง เพราะว่าเขาก็อยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มอยู่แล้ว ก๊ะกับไหมก็ขึ้นเป็นพี่เลี้ยงน้องด้วยนะ ดูแลน้องด้วย หลังจากนั้นไหมก็ดูแลด้วยความเป็นพี่เลี้ยง เด็กจะไปบ้านพี่ไหม เวลาจัดประชุมจะมารวมที่บ้านกันหมด โดยไหมให้บ้านของตัวเองเป็นที่ศูนย์ในการประชุม


แล้วพี่เลี้ยงเราคนเดิมล่ะ

พี่หราใช่ไหมคะ พวกหนูก็ไม่เข้าใจค่ะ เพราะว่าปีหนึ่งตอนปลาย แกก็ยังอยู่ แต่พอมาเริ่มปีสองก็เริ่มห่างออกไป เชิญมาประชุม ก็มาแค่สองครั้ง ตอนที่บังเชษฐ์มายื่นโครงการให้ตอนแรก ๆ กับตอนที่รวมน้องไปลงพื้นที่ครั้งแรกที่ป่าเตย หลังจากนั้นก็ติดต่อไปว่ามาร่วมประชุมกับน้อง ๆ หน่อยค่ะ พี่เขาก็ไม่ค่อยมาแล้ว

เราก็คิดนะคะว่าเป็นเพราะว่าพวกหนูมาทำเกินหน้าที่ไปหรือเปล่า แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพี่หรารู้สึกอย่างไร เพราะไม่ได้คุยกัน ทุกครั้งที่ประชุมก็เชิญทุกรอบ และลูกของพี่หราก็อยู่ในโครงการเหมือนเดิม เขาอยู่ตั้งแต่ปีหนึ่งค่ะ น้องดา


อันนี้แปะไว้ก่อน มาถึงตอนที่เรารู้ว่าเราได้เป็นพี่เลี้ยง เรารู้สึกอย่างไรบ้าง ตอนแรกจะต้องมาเป็นประธานทีหนึ่งแล้ว ตอนนี้อัปเกรดอีกแล้วมาเป็นพี่เลี้ยง

ตอนนั้นรู้สึกดีใจ ไม่กังวลแล้ว เพราะว่าเคยผ่านมาแล้ว พอรู้สึกว่าได้เป็นพี่เลี้ยงก็รู้สึกดีใจได้อัปเกรดตัวเอง แสดงว่าพี่เชษฐ์ยังเห็นการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงของไหม เลยทำให้ไหมได้ขึ้นมาเป็นพี่เลี้ยง


พอมาทำจริง ๆ แล้วเป็นอย่างที่คิดไหม

ด้วยความที่ไหมได้ทำงานกับน้องแค่เดือนสองเดือน แล้วต้องมาเรียนต่อ รู้สึกว่ายังไม่มีอุปสรรคหรือปัญหาอะไรเลยค่ะ ไม่ว่าจะประชุมกี่ครั้ง น้องติดต่อมาตลอด


บทบาทที่เราทำงาน อยากให้เล่าให้ฟังหน่อย พอมาเป็นพี่เลี้ยง วิธีการทำงานเราก็ต้องเปลี่ยนไป มันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

การทำงานเปลี่ยนแปลง เมื่อก่อนตอนเป็นประธานมีคนประสานงานให้เราก่อนทุกอย่าง แต่พอเราขึ้นมาเป็นพี่เลี้ยง สิ่งที่พี่เลี้ยงควรทำ คือ ประสานงานให้น้อง ให้กำลังใจน้อง ให้คำแนะนำกับน้อง ช่วยเสริมน้องๆ ทุกด้าน บางครั้งในการทำงานอาจมีทะเลาะกันบ้าง เราบอกกับน้องๆ ว่ากินข้าวหม้อเดียวกันจะทะเลาะกันทำไม พยายามพูดด้วยเหตุผล เพื่อให้น้องๆ และงานเดินต่อไปได้ หรือบางเวลาเราก็ยังเป็นที่ปรึกษาให้กับน้องๆ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวด้วย ความยากในการประชุมคือ การไม่ตรงต่อเวลา

สมมุติว่าเรานัดหนึ่งทุ่ม น้องมาสองทุ่มและขอต่อเวลาอีกครึ่งชั่วโมงเพื่อเล่นเกมก่อน ความรู้สึกตอนนั้นมันจะปรี๊ดแตก แต่เราก็ใช้เหตุผลคุยกับน้องๆ ว่า เล่นเกมได้นะ พอเล่นเสร็จแล้ว งานต้องเดินต่อนะน้องๆ ก็โอเค


วิธีการแบบนี้ไหมเรียนรู้มาจากไหน วิธีการที่ต้องจัดการกับน้อง ต้องใจเย็น

ตอนปีหนึ่งเราเป็นเหมือนน้องๆ เลยค่ะ สมมุติว่า พี่ๆ นัดสี่โมง กว่าเราจะมาถึงก็ห้าโมง บังเชษฐ์ก็พูดว่าแบบนี้แหละ แรก ๆ เขาก็ไม่คิดว่าจะตรงต่อเวลา เขาก็คิดว่าบังเชษฐ์นัดเวลานี้ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็มาหลังจากนี้ แต่จริง ๆแล้ว บังเชษฐ์มารอก่อนเวลานัดตั้งครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นเราก็เปลี่ยนเลยค่ะ ต้องไปก่อน บังเชษฐ์ไปก่อนครึ่งชั่วโมง พวกหนูไปก่อนชั่วโมงหนึ่งเลยค่ะ สิ่งที่เห็น คือการทำงานของบังเขาจริงจัง เขาตั้งใจมารอเรา หลังจากนั้นก็ไม่อยากให้เขารอ เลยมาปรับเปลี่ยนน้องๆ ว่า ถ้านัดหนึ่งทุ่ม หกโมงครึ่งน้องๆ ต้องมาถึงแล้ว เพื่อการทำงานที่เป็นระบบ เริ่มเห็นบังเชษฐ์ทำแบบนั้นก็เอาวิธีนี้มาใช้กับน้องเขา ทำให้น้องๆ เข้าใจและยอมรับได้


น้องเขาไม่รู้ทัน ว่าเราแอบนัดน้องเขามาก่อน เขาก็จะมาช้าเหมือนเดิม

หลัง ๆ เขาเริ่มรู้แล้วค่ะ แต่ว่าครั้งหนึ่งบังเชษฐ์มาเอง แต่เขาก็รู้แล้วว่าพวกหนูหลอกให้เขามาก่อนบังเชษฐ์ วันนั้นบังเชษฐ์มานั่งรอเลย บังเชษฐ์บอกไม่ต้องโทรศัพท์ตามเขานะ ให้เขามาเอง น้องเขาน่าจะเกิดความละอายใจเองหรือเปล่า หลังจากวันนั้นนัดน้องเขาหกโมง พี่เลี้ยงไม่ต้องบอกเลยว่าต้องมาเวลาไหน ห้าโมงครึ่งก็ถึงแล้ว


แล้วยังเล่นเกมอยู่ไหม

ค่ะ หลังจากที่เขาได้ไปอบรมมา การเล่นเกมของเขาก็ลดลง จนถึงตอนนี้บางคนก็เลิกเกมไปเลย


โครงการปีที่สอง ซึ่งเป็นโครงการจักรสานเตยหนาม โจทย์โครงการนี้มาได้อย่างไร เราชวนน้องคิดวางแผนอย่างไรบ้าง

เราคุยกับน้องๆ ว่าเราอยากทำโครงการอะไร คิดออกมาได้ 3 หัวข้อค่ะ  ข้อที่หนึ่ง เราจะถามน้องๆ ก่อนว่า อยากจะสานต่อโครงการแรกที่พี่ทำไหม ข้อที่สอง ถ้าไม่พัฒนาโครงการเก่า ทำเกี่ยวกับเก็บขยะในชุมชนแต่ละสัปดาห์ขึ้นมาไหม หรือขอที่สามจ๊ะหรายังอยู่เป็นพี่เลี้ยงช่วงวางโครงการ จ๊ะหราบอกว่าเตยหนามบ้านเราก็เยอะอยู่นะ แล้วคนในชุมชนก็ยังจักรสานอยู่ สนใจไหม นั่งคิดกัน เขาบอกว่าเตยหนามเลยแปลกดี แรก ๆ น้องๆ ยังไม่กล้าคุยกับหนูกับก๊ะ เพราะน้องเป็นผู้ชาย แล้วเราไม่ได้เจอกันบ่อยเขาก็หันไปคุยกันเอง เอาอะไร ๆ แล้วเขาก็ตกลงกันเลยว่าจะเอาเรื่องเตยหนาม


งั้นในบทบาทพี่เลี้ยงของเราที่เราต้องดูแลน้อง ๆ ผู้ชายพวกนี้ ไหมเข้าไปช่วยในขั้นตอนไหนบ้าง ในโครงการจักรสานเตยหนาม

ตอนที่ยังไม่ได้จัดการประชุมอะไรเลย พวกหนูเข้าไปประสานกับผู้เฒ่าผู้แก่ให้น้องก่อน หาพื้นที่จักรสาน เข้าไปติดต่อกับผู้รู้ว่า ปีนี้มีโครงการแนวนี้ วันนี้เข้ามาถามก่อน เพื่อที่จะได้รู้ว่ามีกี่คนที่สามารถสอนได้ เหมือนไปคุยทาบทามไว้ก่อนเพราะว่าคนที่จักรสานเป็นญาติกัน ถามเขาว่าสอนได้ไหม เขาก็บอกว่าสอนได้ หลังจากนั้นก็บอกให้น้องเข้าไปขอข้อมูลด้วยตัวเอง จะได้พูดคุยกัน เพราะว่าปีนี้ น้องเขาเป็นคนทำ บอกเขาไปแบบนั้น แล้วหลังจากนั้นน้องก็ไปหาข้อมูลไปสัมภาษณ์ถึงบ้าน


ก่อนที่น้อง ๆ จะไปถาม เราต้องมาช่วยวางแผน หรือเราต้องมาช่วยกันคิดคำถามอะไรไหม

เราให้เขาตั้งประเด็นด้วยตัวเอง จะถามประเด็นอะไรก็ถามได้ แต่อย่าลืมถามชื่อด้วย เพราะว่ามันเป็นสิ่งสำคัญในการหาข้อมูลของผู้คน ถ้าเรามีความรู้ทางด้านนั้น เราจะได้เอาชื่อของเขาไปพูด เช่น ข้อมูลนี้ผมได้มาจากการสอนของครูฟาติมะ ให้เกียรติผู้สอน ผู้ที่ให้ความรู้


เราได้ผู้รู้มากี่คนที่น้อง ๆ ไปสัมภาษณ์ จำได้ไหม

ตอนที่น้อง ๆ ไปสัมภาษณ์ ได้มาสามคนค่ะ


เป็นญาติของไหมหมดเลยไหม หรือว่าเขาแนะนำต่อ ๆ กัน

เป็นญาติของพี่ก๊ะคนหนึ่ง ญาติของไหมคนหนึ่ง และเป็นญาติของเด็กเยาวชนด้วยกันคนหนึ่งค่ะ ญาติของเยาวชนเขาไปถามด้วยตัวเองเขาเห็นน้าเขาทำอยู่  เมื่อก่อนในชุมชนทำจักรสานเตยหนามทุกบ้าน แต่เดี๋ยวนี้คนสนใจน้อยลง เนื่องจากความสะดวกสบายเข้ามา คนในชุมชนก็ไม่ได้ไปตัดเคยหนาม จักรสานมีหลายขั้นตอน เราต้องลงไปตัดเตยหนาม เอามาลอกหนามออก ตากแดด กว่าจะได้ใช้ ถ้าเกรียมเกินไปก็ใช้ไม่ได้ ถ้าอ่อนเกินไปก็ใช้ไม่ได้ คนในชุมชนก็เลยไม่ได้ทำกัน มันยุ่งยาก


ข้อมูลพวกนี้เกี่ยวกับการทำเตยหนาม ก่อนจะมาแปรรูป ไหมรู้อยู่แล้วหรือว่าไหมมาเรียนรู้พร้อมกับน้อง ๆ

การจักรสาน เคยไปนั่งจักรสานกับเขา แต่ก็ไม่ได้เป็นรูปเป็นร่าง เพราะว่าทำไม่เป็น จึงบอกให้เขาสอนหน่อย แต่ถ้าเป็นข้อมูลเกี่ยวกับเตยหนาม มีสรรพคุณอะไรบ้าง เช่น เตยหนามมักขึ้นอยู่ที่น้ำหรือพื้นดินแห้ง เรื่องนี้ไหมรู้อยู่แล้ว เตยหนามจะอยู่ที่ชื้น ถ้าน้ำกัดเซาะมากเกินไป ต้นจะเปื่อยค่ะ


แล้วตรงจุดที่เราเน้นย้ำบอกน้องอย่าลืมชื่อ นามสกุล มันเป็นเพราะเรามีประสบการณ์จากปีแรกหรือเปล่า

ใช่ค่ะ เพราะว่าตอนปีแรกเคยไปหาข้อมูล แต่ไม่ได้บันทึกชื่อเอาไว้ พอขึ้นไปนำเสนอ เขาถามว่าตกลงข้อมูลนี้ได้มาจากใครกันแน่ คิดขึ้นมาเองเหรอ เวลาไปนำเสนอจึงไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้กับน้อง เราจึงเน้นย้ำน้องๆ ไม่ว่าจะถามประเด็นอะไรก็ตาม อย่าลืมข้อมูลส่วนตัวเด็ดขาด


แล้วเขาทำผลงานเก็บข้อมูลออกมาเป็นอย่างไรบ้าง เราประเมินแล้ว

ประเมินแล้ว ไม่ถึงขั้นดีมาก ด้วยความที่เขาเป็นผู้ชายความรับผิดชอบน้อยและเป็นเด็กติดเกม แต่น้องๆ ทำออกมาถึงขั้นเก็บข้อมูลได้ขนาดนั้น ถือว่าดีแล้ว พัฒนาการของเขาในแปดคน จากไม่ได้เป็นคนกล้าพูด สิ่งที่เปลี่ยนไป คือ เขากล้าพูด ถึงขั้นที่แม่เขาบอกว่า ถ้ามีกิจกรรมอย่าลืมนัดลูกเขาไปด้วย ให้ออกไปหาประสบการณ์ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าเสียงตอบรับของพ่อกับแม่จะออกมาดี เพราะมีผู้ปกครองบางคนคิดว่า เอาลูกมาทำงาน ไม่ได้มีค่าตอบแทนอะไร เสียเวลาเปล่าๆ แต่พอน้องๆ ได้ไปเริ่มอบรม ทัศนคติของผู้ปกครองก็เริ่มเปลี่ยน ผู้ปกครองเริ่มบอกว่าถ้ามีกิจกรรมวันไหนอย่าลืมดึงน้องไปด้วยนะ ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่น้องๆ ทำอยู่ดีแล้ว แสดงว่าโครงการนี้ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปจริง ๆ


แล้วเราได้ยินแบบนั้นแล้วเรารู้สึกอย่างไรบ้าง

ดีใจมาก ได้ยินที่ผู้ปกครองบอกให้เอาลูกไปด้วย เพราะว่าส่วนใหญ่มีเด็กไม่กี่คนที่เข้ามาเพราะอยากทำ บางคนเข้าก็มาถามว่า ที่ทำอยู่ได้เงินไหม เราพยายามบอกว่าให้หนูทำเถอะ เพราะหนูก็รู้ว่าพอหนูไปทำ หนูก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองไง หลัง ๆ ที่บ้านก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้ว เขาก็ดีใจที่เราได้มีความรู้เพิ่มเติม ประสบการณ์การใช้ชีวิต


การเปลี่ยนแปลงในตัวเอง ตอนนั้นที่ไหมคิดว่ามันชัดเจนจนที่บ้านยอมรับเรา ไหมคิดว่าเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องการเรียนตอนแรก ๆ ก็ยังวัดไม่ได้หรือเปล่า

ค่ะ เป็นคนอารมณ์ร้อน ทุกอย่างจะใช้อารมณ์ ตั้งแต่เข้าโครงการ แม่เห็นว่าเราเปลี่ยนไป ถ้าไหมอารมณ์ร้อนไหมจะไม่พูดด้วยเลย แต่รอบนี้เรายอมเดินออกมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนไหมเถียงกลับเลย เถียงกลับไปเลยโดยไม่ได้คิดอะไร อีกอย่างหนึ่งก็คือ การเรียน เมื่อก่อนได้เกรดน้อย จนครูที่โรงเรียนบอกว่าเกรดน้อยขนาดนี้ มหาวิทยาลัยที่ไหนจะรับเธอ อันนี้เป็นปมที่สุดของหนู น้ำตาไหลเลยค่ะ มันกระแทกใจมาก คิดว่าทำไมครูที่เขาสอนหนู กล้าพูดแบบนี้ เพื่อนก็บอกว่าไม่เป็นไร พิสูจน์ให้ครูเห็นว่าที่ไปทำทั้งหมดเกิดขึ้นกับตัวเราได้  เกรดน้อยขนาดที่บ้านบอกว่าไม่น่าเรียนเลย เรียนวิทย์-คณิต แต่เกรดคณิตก็ยังได้เกรดหนึ่งเกรดสอง เรียนไปได้อย่างไร ช่วงนั้น ม.6 เทอม 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง เปิดรับนักศึกษาเป็นที่แรก ด้วยความที่ปมของครูเข้ามากระแทกใจว่ามหาวิทยาลัยไหนจะรับ รอบส่งพอร์ตโฟลิโอ หนูก็ทำพอร์ตโฟลิโอขึ้นมาเลยค่ะ กิจกรรมหนูเยอะ หนูมั่นใจ คิดว่าใครจะพูดอย่างไรก็ช่าง ติดแน่นอน ครูว่าหนูใช่ไหม ได้ค่ะครู ถ้าหนูติดคนแรกนะ ครูคอยดูนะคะ หนูจะติดคนแรกของโรงเรียนให้ได้ค่ะ สุดท้ายมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางก็รับเราเข้าเรียนจริงๆ  รู้จักพี่ปุ๊กกี้เยาวชนที่น่าน เขาเรียนอยู่ที่นี่ด้วย เป็นรุ่นพี่หนึ่งปี พี่ปุ๊กกี้เป็นคนแนะนำให้สมัครเรียนที่นี่ตั้งแต่เริ่มเปิดรับสมัคร แนะนำสาขาพัฒนาชุมชน เขาถามว่าอยากเรียนไม่ใช่เหรอ เราก็ลงสมัครเลยค่ะ ในพอร์ตโฟลิโอไม่ได้มีงานกิจกรรมอะไร เพราะว่าตอนอยู่โรงเรียนเก่าไม่ได้เป็นเด็กกิจกรรม ในพอร์ตโฟลิโอเต็มไปด้วยงานของแอคทีฟค่ะ ลงพื้นที่ของแอคทีฟ ประชุมอบรมสื่อของแอคทีฟ อะไรก็แอคทีฟ ๆ ใส่ไปหมดเลยค่ะ อยู่ ๆ เขาประกาศ ทำให้ไหมติดมหาวิทยาลัยคนแรกของโรงเรียนจริง ๆ ค่ะ หลังจากนั้นครูก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยค่ะ ดูถูกฉันมากเกินไปแล้วนะ


คราวนี้ก็มั่นหน้าเลย ตอนนั้นรู้สึกภูมิใจ หน้าเชิดตัวตรงเลยไหม

ตอนนั้นเป็นวันที่โรงเรียนหยุด แม่หนูไปถอนกล้า เป็นช่วงจะดำนาแล้ว ห่างกันเกือบกิโลเมตร ด้วยความที่หนูคลิกเข้าไปแล้วเจอชื่อหนู หนูก็ขับรถไปหาแม่เลย หนูติดแล้ว ๆ เอาเลยไหม โอนเงินให้เขาเลยไหม ด้วยความที่ตื่นเต้นดีใจ จากเด็กเกรดน้อย ไม่คิดว่าจะได้ เพราะกิจกรรมนี้ วันนั้นถ้าไม่ได้เข้าโครงการนี้ หนูก็คงไม่ได้โควต้าติดรอบแรก หรือรอบต่อไปก็ไม่รู้จะติดไหม เพราะกิจกรรมก็ไม่มี การเรียนก็ไม่ได้ แม่หนูดีใจมากเพราะเปลี่ยนไปเยอะเลย เราเห็นผลลัพธ์กับตัวเอง ว่าที่ทำไปไม่เสียเปล่า แม่ก็เห็นว่าหนูภูมิใจดีใจ หลังจากนั้นแม่ก็ไม่เคยห้าม แม่จะถามว่า เขาจะมาประชุมวันไหนอีก อย่าลืมเตรียมตัวเตรียมของให้เขาด้วย เดี๋ยวเขามาแล้วจะดูไม่ดี เมื่อก่อนไม่เคยพูดแบบนี้ ไม่เคยถาม พอจะไปประชุมก็ถามว่าจะกลับตอนไหน แต่เดี๋ยวนี้ไปเลยค่ะ นอนค้างคืนก็แล้วแต่เลยค่ะ


ไทม์ไลน์เป็นอย่างไรนะ ตอนที่เราสอบติดแล้ว มันคือปีสองแล้วหรือเปล่า

ปีสองแรก ๆ แล้วค่ะ


ถ้ากันยายนปีที่แล้ว น่าจะช่วงใกล้จบปีหนึ่ง ปีสองอาจจะยังไม่เริ่ม

ปีสองเริ่มเดือนมีนาคมแล้วค่ะ ถ้าจำไม่ผิด


ช่วงกันยายน บังเชษฐ์เพิ่งหากลุ่มใหม่ตอนปีสอง

ตอนนั้นพอไปเรียน ม.6 ไปแบบมั่นหน้า จากที่ครูด่าเป็นประจำพอหลัง ๆ เกรดน้อยช่างมัน เขารับแล้วค่ะ พอเริ่มติดสักคนเพื่อนก็เริ่มเครียดแล้ว หนูก็ดีใจที่เพื่อนเครียด ตอนนั้นเธอหัวเราะฉันน่ะ ตอนนี้ฉันจะให้เธอหน้าเศร้า ร้ายลึกค่ะ


แต่ในใจเรามีคิดกังวลไหมล่ะ เราจะต้องไปนอกชุมชนแล้วล่ะ แล้วเราจะทำอย่างไร

ปีสองก็เข้ามา รับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงด้วย ก็บอกน้องๆ ว่าถึงไม่ได้อยู่ในชุมชน ถ้ามีอะไรที่ไม่เข้าใจก็ทักมาถามได้ตลอด ถึงไม่ได้ทำงานร่วมกัน แต่ก็ยังปรึกษากันผ่านโทรศัพท์ก็ได้ ตอนน้องๆ ลงพื้นที่ก็ให้น้องๆ โทรศัพท์เปิดกล้องไว้ด้วย


เราที่พยายามจะจัดเวลาให้ได้

ใช่ค่ะ ช่วงเทอมแรกหนูก็ไม่ได้เรียนอยู่แล้วค่ะ ช่วงนั้นเรียนออนไลน์ คอมก็เปิดค่ะ เอาน้องก่อน แค่น้องๆ ลงมือทำ หนูก็ดีใจแล้ว ถ้าน้องๆ โทรศัพท์มาก็ปิดไมค์การเรียน แต่นั่งฟังอาจารย์ค่ะ ทำไปพร้อมๆ กันค่ะ


แล้วมันยากไหม กับการเป็นพี่เลี้ยงผ่านทางไกลแบบนี้

ไม่ยากคะ ถ้าน้องๆ มีกิจกรรม ทักมาบอกกับทางกลุ่มล่วงหน้า เดี๋ยวจะมีประชุมตอนหกโมง อย่าลืมมากันด้วย เราก็มาดูตารางเรียนตัวเอง วันนี้ดีใจจังไม่มีเรียนตอนบ่าย อยู่ที่ห้อง เพื่อนชวนไปเที่ยวไม่ไปแล้ว คืออยากดูน้องประชุม อยากฟัง เพื่อนบอกว่าไปเที่ยวเถอะ ๆ ก็ไม่อยากไป ด้วยความที่ยังกังวลน้องอยู่ กลัวว่าน้องๆ ไม่ถนัดยังไม่ชำนาญ


แต่ใจเราก็ไม่ได้อยากจะไปกับเพื่อน คือไม่ได้รู้สึกว่าเป็นภาระที่เราต้องมานั่งอยู่กับห้องคือสนุกที่จะอยู่กับน้องมากกว่า

ใช่ค่ะ ถึงจะอยู่ที่นี่ แต่ยังสนุกกับโครงการที่บ้าน ยังสนุกกับชุมชน อาจารย์ก็ถามตอนมาเทอมแรกตอนปีหนึ่งได้ข่าวว่าทำโครงการเหมือนพี่ปุ๊กกี้ อาจารย์จับไปอยู่กับปีสามเลยค่ะ ไปลงพื้นที่พร้อมเขา อันนี้ก็ยิ่งดีใจไปใหญ่ พออาจารย์พาไป มันสนุก อยากทำงานแบบนั้น ที่เลือกมาฝั่งนี้ก็เพราะว่าวัฒนธรรมมันแตกต่าง อยากเรียนรู้ที่แตกต่าง พอเขาถามว่าว่างไหม หนูบอกเพื่อนเรื่องเที่ยวยกเลิกเลยค่ะ


งั้นพอเราไม่อยู่ในพื้นที่ น้อง ๆ เขาประชุมกันอย่างไร ประชุมที่ไหนเป็นหลัก

กลุ่มเยาวชนจะมีบ้านของแฝด เขาเป็นแฝดพี่กับน้องรุ่นเดียวกับไหม หน้าบ้านของเขามีขนำใหญ่ หน้าบ้าน พ่อใส่ไฟไว้ให้ด้วย กลางคืนนั่งดีดกีตาร์กัน นั่งประชุมตรงนั้น เขาจะชวนพี่ก๊ะ ชวนทุกคนในกลุ่มว่า อย่าลืมมาเจอกันตรงนี้เวลานี้ เขาก็ไปนั่งกันตรงนั้นแทน


แล้วเรื่องที่โทรศัพท์มาปรึกษาเรา ถ้าเราลองดูความถี่แล้วบ่อยไหม ส่วนใหญ่เขาจะปรึกษาเราเรื่องอะไร

ไม่ถี่ค่ะ บางทีที่ทักมา ไหมอยู่มหาวิทยาลัยยังคุยงานกับเพื่อนที่เป็นงานกลุ่ม ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็บอกเขาว่าวันนี้ไม่ได้เข้านะ เขาก็ว่าไม่เป็นไร วันไหนที่ไหมบอกว่าอย่าลืมโทรศัพท์มานะ เขาก็โทรศัพท์มาทุกครั้ง เขาก็จะถามว่าถ้าทำแบบนี้ดีไหม เดี๋ยวจะไปลงพื้นที่วันนี้ ๆ นะ ใช้เรือของคนนี้ไปนะ พี่ ๆ ว่าอย่างไรบ้าง เขาก็จะถามว่าต้องให้เงินเท่าไร แล้วจะมีเรือของหมู่บ้านที่ใช้ร่วมกันด้วย แต่ต้องใส่น้ำมันทุกครั้ง เขาก็บอกว่าแล้วไปตรงนี้ ต้องใส่น้ำมันให้กี่ลิตรต่อครั้ง ไปที่แหลมมันไม่ได้ถึงลิตรค่ะ แต่เราทำโครงการแล้วก็ซื้อเป็นลิตรไว้ให้เขาใช้เลย เพราะได้ใช้ประโยชน์ต่ออยู่แล้ว ก็ให้ความคิดเห็นเขาไป เราต้องซื้อเผื่อให้เขานะ ไม่ใช่เขาบอกว่าเอาครึ่งหนึ่งก็ครึ่งหนึ่ง ให้เห็นใจเขาใจเรา เขาว่างก็พาเราไปแล้วครั้งต่อไปเขาจะได้พาเราไปอีก


ไหมไม่ได้อยู่หน้างานจะกะได้อย่างไรว่าต้องใช้น้ำมันจริง ๆ เท่าไร หรือเราเคยมีประสบการณ์ไปมาก่อน

ปีแรกเราก็ใช้เรือค่ะ แต่ไหมไม่ได้ลงไปกับเขาจริง ๆ เราเป็นคนที่สรุปโครงการของปีหนึ่ง ก็เอาผลสรุปตรงนั้นมาใช้กับน้องอีกทีหนึ่ง


แล้วกับก๊ะ เป็นพี่เลี้ยงคู่กันใช่ไหม คนหนึ่งก็อยู่ในพื้นที่อยู่ เราทำงานคู่กันอย่างไรบ้าง พูดคุยกันอย่างไร

พี่ก๊ะทำงานเยอะกว่าอยู่แล้ว เพราะเขาอยู่ในพื้นที่ วันไหนที่เข้าร่วมเขาจะสรุปแล้วถ่ายมาให้ไหมดูอีกทีค่ะ ว่าวันนี้ประชุมเรื่องนี้ แล้วจะทำอะไรต่อ เขียนมาในโน้ต พี่ก๊ะก็ทำเรื่องโน้ตตั้งแต่ปีแรกอยู่แล้วด้วย พอปีสองก็ช่วยน้องๆ โน้ตอีก


แสดงว่าตัวไหมเองก็ไม่คิดที่จะทิ้งไปเลย ถูกไหม เพราะติดตามตลอดต่อเนื่อง

ติดตามค่ะ ยังทักหา ยังถามน้องอยู่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง วันนั้นปิดโครงการปีที่สองไปแล้ว พอมารู้ว่าปีสามไม่มี อันนี้ก็คือเศร้าเลย เห็นน้องในกลุ่มแล้วกระแทกใจมาก เขาทำไปปีหนึ่ง ในกลุ่มพี่ก๊ะไปบอกว่ามีข่าวดีจะบอก พี่ก๊ะก็พูดเล่น ๆ ปีสามไม่มีแล้ว ข่าวดีอะไรไม่ใช่ข่าวดี เขาไม่ได้ทำแล้ว เขาไม่ได้มานั่งรวมตัวกันบ่อยแบบนี้แล้ว ที่เขามานั่งรวมตัวเป็นกลุ่มแบบนี้เพราะแม่เขารู้อยู่แล้วว่าเขาออกมา ประชุมกัน พอไม่มีอันนี้เดี๋ยวแม่ไม่ให้ออกแน่เลย เขาก็กังวล


ตอนนี้โครงการจบไปแล้วใช่ไหม แล้วกลุ่มเรามีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง น้อง ๆ เป็นอย่างไรบ้าง

น้องเขาก็ทักนะคะ บางทีพี่ก๊ะและไหมก็จะเข้าไปด้วย แต่ดูเหมือนเขาอยากทำต่อ


ในบทบาทพี่เลี้ยงของไหม ช่วงหนึ่งได้อยู่ในพื้นที่ ช่วงหลังต้องทำทางไกลด้วย เราก็ได้ช่วยประสานงาน ช่วยติดตาม มีอย่างอื่นอีกไหมที่อยากเล่าให้พี่ฟัง ในความเป็นพี่เลี้ยง

ติดตามงานน้องๆ ให้น้องสรุปแล้ว ให้พี่ก๊ะถ่ายมาให้ดูบ้าง ไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติม ด้วยความที่ไม่ค่อยว่างเท่าไรด้วย แต่ทุกครั้งก็พยายามให้ตรงกับน้องๆ นอกจากที่เล่าไปก็ไม่มีค่ะ


เราสัมผัสได้ตั้งแต่จับโครงการปีหนึ่งปีสองมา เราเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ในเรื่องเด็กและเยาวชนในชุมชนเรา ซึ่งเราก็ผ่านการเป็นเยาวชนตรงนั้นมาเองด้วย อยากให้สะท้อนให้ฟังหน่อย

จากที่ได้เห็นการพัฒนาของคนในชุมชนและเยาวชน รู้สึกว่าวันนั้นจากที่เรากังวลว่า เราเป็นเด็ก เราทำไม่ได้ มันสะท้อนกลับมาทำให้เห็นว่า เราเป็นเด็ก เราก็ทำได้ เรายังหาสมาชิกเพิ่มเข้ามา แล้วทำให้เขารู้สึกอยากทำต่อ อันนี้เป็นสิ่งที่ไหมดีใจที่สุด เสมือนเราปลูกต้นไม้ขึ้นมา มีคนคอยรดน้ำอยู่เรื่อยๆ แค่นี้ก็ดีใจแล้ว ยังทำให้รู้สึกว่าชุมชนของเราหรือว่าเยาวชนของเราตอนนี้ไม่ได้นิ่งเฉย ๆ เขาก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมในตรงนั้นด้วย


พอไม่มีโครงการแอคทีฟแล้ว มีแนวโน้มว่าเขาอยากรวมกลุ่มที่จะทำอะไรด้วยตัวเองไหม

การรวมกลุ่มของเขาคือการจับกลุ่มเล่นกีฬา ถ้าเรื่องลงมือทำคิดว่าไม่มี เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าจะหางบมาจากไหน บางทีมานั่งรวมตัวกัน เขาคิดว่าไม่มีงบประมาณเข้ามาให้เขาได้ทำโครงการ แต่เขาอยากทำอีก ทำให้เราคิดนะว่า เดี๋ยวปิดเทอมรอบนี้จะชวนน้องๆ รวมตัวกันเก็บขยะในชุมชนดีกว่า กลับไปกระตุ้นเขาสักหน่อย เผื่อเขาจะได้ทำต่อ เราจะวางแผนลงมือทำให้น้องดู ชวนน้องมาทำด้วยกัน หนูคิดแบบนั้น


แล้วถ้าเป็นเสียงตอบรับจากชุมชนหรือผู้นำชุมชนเขาเป็นอย่างไรบ้าง

เสียงตอบรับชุมชนตอนปีหนึ่ง เขาไม่ได้อะไรกับเยาวชนเลย ไปปรึกษาให้เขามาเปิดพิธี มาเปิดให้แล้วเขาก็กลับไป โดยที่เขาไม่ได้สนใจ เขายังถามด้วยว่าทำอะไรกัน ไหมเข้าใจว่าโครงการที่ทำกันอยู่เข้ามาเสริม เพื่อพัฒนาเยาวชนนะ เราไม่ได้คาดหวังว่าชุมชนจะเปลี่ยนแปลงขนาดนั้น แต่โครงการนี้เปลี่ยนแปลงตัวเยาวชนมากกว่า ให้กล้าคิด กล้าทำ จุดมุ่งหมายของโครงการไม่ได้ให้ชุมชน งอกงามไปเลย แค่เห็นว่าเยาวชนเปลี่ยนแปลง ถือว่าสำเร็จแล้ว ผลงานในปีแรกเกิดเป็นหนังสือ เอาไปวางไว้แล้วนะคะ พอปีสองน้องก็หาข้อมูลค่ะ เพราะเวลาสั้น ไม่มีเวลาทำเรื่องจักรสาน แต่น้องเรียนแล้ว แค่ยังไม่ได้ทำเป็นผลิตภัณฑ์ น้องเขาก็เต็มที่กับงาน พัฒนาขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมแล้ว มีผู้ใหญ่มานั่งสอน นั่งทำทำ ถือว่าเขาได้เรียนรู้ไปแล้ว เขาจะได้ใช้ต่อ แค่ว่าสิ้นสุดเขาไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันแค่นั้นเอง


แล้วอย่างตัวไหมเอง นอกจากที่บอกพี่ว่าเป็นคนกล้าพูดอยู่แล้ว แต่เมื่อก่อนไม่มีพื้นที่ที่จะพูด นอกจากเรื่องนี้ที่เล่ามาแล้ว เรามีอย่างอื่นอีกไหมที่เราค้นพบว่าเราทำแบบนี้ก็ได้นะ เป็นศักยภาพที่เราเพิ่งรู้ หลังจากที่เราทำโครงการ

ปีหนึ่งเลย บังเชษฐ์เปิดโอกาสให้เป็นพิธีกรคู่กับก๊ะราฏา เปิดโอกาสให้เป็นพิธีกรบนเวทีใหญ่เลย หนูดีใจ เพราะหนูอยากพูด อยากเป็นคนเก่ง หนูไปแต่ละงาน หนูไปดูพิธีกรพูด ไปคอนเสิร์ต เขาแต่งตัวสวย ขึ้นบนเวที คนก็มองไปที่เขาคนเดียว อยากมีโมเม้นนี้บ้าง บังเชษฐ์เลยมอบโอกาส หนูลงทุนแต่งหน้าเลย ต้องขอบคุณบังเชษฐ์ที่ให้โอกาสวันนั้น พี่ราฏาก็สอนทักษะการพูดเพิ่มเติมอีก หลังจากนั้นบังเชษฐ์ให้มาเป็นหัวหน้าสันทนาการในอีกหลายงาน เรียนรู้วิธีการดึงดูดผู้ชม เราเล่นเกมนี้ เริ่มมีทักษะแล้ว เล่นเกมนี้ได้ไหม กับคนอายุแค่นี้ ทำได้ไหม เราจะเอาเกมนี้มาเล่นกับคนทุกกลุ่มช่วงอายุไม่ได้นะ เล่นได้แค่บางอายุ จากไม่มีเวทีพูดทำให้เรามีเวลาไม่พอสำหรับเวทีพูดตรงนั้นด้วยซ้ำตอนนี้ ที่มหาวิทยาลัยไม่รู้ว่ารุ่นพี่เกลียดหรือเปล่า มีการจัดงานนำเสนอโครงการวิจัยของพี่ปีสี่ เขาถามว่ามีใครจะถามบ้าง ในห้องนั้นสี่สิบกว่าคน ให้พูดถามกับไมค์ เราก็มั่นใจมากค่ะ ลุกขึ้นถาม พอถามออกไป พี่เขาตอบไม่ได้ คิดในใจจะโดนตบไหมนะ รุ่นน้องทำให้พี่เขาตอบไม่ได้ แถมอาจารย์ยังย้อนคำถามหนูอีกว่าที่น้องเขาพูดก็จริงนะ ประเด็นที่เอามาไม่ชัดเจน สุดท้ายอาจารย์บอกว่าให้พี่เอาประเด็นของน้องไปคิดแล้วหาข้อมูลมาให้ได้นะ


ในเหตุการณ์นั้น เราไม่ได้ต้องการจะหักหน้าอะไรเขาถูกไหม เราก็ถามไปตามที่เราเคยทำมาก่อน

ใช่ค่ะ เพราะหนูเคยผ่านมาก่อน จึงอยากให้โครงการของพี่ๆ บรรลุสำเร็จเหมือนกัน


หนูถามว่าอะไรเหรอ

พี่เขาใส่ไปในข้อมูลกำหนดประชากรในการเข้าร่วมโครงการ เขาวางไว้ว่าแค่ต้องการคนที่ทำอาชีพ ทางฝั่งเหนือจะทำไม้จิ้มฟันจากไม้ไผ่ วางไว้ว่าผู้เข้าร่วมมีอาชีพไม้จิ้มฟัน 13 คน แล้วไม่ได้เขียนอะไรต่ออีกเลย ด้วยความที่สงสัย เพราะเราเคยโดนถามจากตอนทำโครงการ เราก็ถามว่า คนอื่นเข้าร่วมโครงการไม่ได้เหรอ  “ทำไมคนที่ไม่ใช่อาชีพไม้จิ้มฟันเข้าร่วมไม่ได้ เขาไม่สามารถเข้ามาร่วมกิจกรรมนี้ได้เลยหรือ ระบุจำนวนคนแบบนี้ไม่ต่างจากการตัดประโยชน์คนในชุมชนหรือเปล่า เห็นบอกว่าสร้างอาชีพ” เขาตั้งชื่อโครงการว่าสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน แต่สุดท้ายเขาใส่จำนวนคนเข้าไป เขาบอกว่าผู้ที่มีอาชีพไม้จิ้มฟัน ทำไม้จิ้มฟัน 13 คน ทำไมชื่อโครงการกับประเด็นประชากรที่เข้าร่วมไม่ตรงกัน เห็นบอกว่าสร้างรายได้ให้กับประชาชน แล้วทำไมถึงมาใส่ว่ามีอาชีพผู้ไม้จิ้มฟัน 13 คน ตกลงว่าจะสร้างอาชีพให้กับชุมชน หรือจะสร้างรายได้ให้กับผู้ที่ทำไม้จิ้มฟัน พี่เขาก็มองหน้าแล้วไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไร ทั้งห้องก็หันมาที่เดียวกันหมด ยิ่งอาจารย์มาซ้ำเติมที่คำถามไหมอีกครั้ง พี่เขาจะเคืองหนูหรือเปล่า หนูก็กลัวนะคะ พี่เขาเริ่มสีหน้าไม่ค่อยดีแล้ว


งั้นมีอะไรไหม ที่เราอยากจะพัฒนาตัวเอง หรือเรียนรู้เพิ่มตอนนี้

เนื่องจากเราเลือกเรียนเกี่ยวกับชุมชน เรื่องจับประเด็นข้อมูลชุมชนจริง ๆ อยากได้ตรงนั้นมากกว่า ยิ่งตอนนี้อาจารย์สั่งงานยิ่งเครียดเลยค่ะ งานแผนที่เดินดินเล่าถึงชุมชนของหนู แต่สิบแผ่นกระดาษ อาจารย์บอกว่าไม่เล่ามั่วนะคะ ตอนนี้กำลังคิดวางแผนว่าต้องทำอย่างไร ถึงจะเขียนเก็บข้อมูลเก็บประเด็นได้จริง ๆ สิบแผ่นกระดาษ กังวลเรื่องนี้มาก เพราะตอนที่เราทำโครงการ เรายังไม่ได้ลงไปถึงแผนที่เดินดินเหมือนที่เรียนตอนนี้ ตอนนี้มันจำเป็นและอยากเรียนรู้ แล้วก็อยากได้ทักษะการพูดเพิ่มมากขึ้น เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ยังไม่มีเวทีให้ฝึกฝน ช่วงนี้ความมั่นใจลดลง เพราะไม่มีเวที มีแต่พูดในห้องเรียนกับเพื่อนเรา เวลานำเสนอโดนเพื่อนบอกว่าจะเล่นใหญ่อะไรขนาดนั้น


คือเล่นใหญ่เกิน แต่เวทีมันเล็กไป

ใช่ค่ะ ด้วยความที่หนูติดจากโครงการมา หนูเล่นใหญ่เกินไป ใครเขาก็ต้องการเกรดเอทั้งนั้น มาเรียนทำไมถ้าไม่ต้องการเกรดเอ ใช่ไหมคะ ที่หนูทำไปทั้งหมดไม่ใช่ว่าจะเอาหน้า หนูต้องการเกรดเอ มาแล้วต้องให้คุ้ม ให้คุ้มกับที่เขาบอกว่ามาเรียนพัฒนาชุมชนทำไม


งั้นเรียนทำไมพัฒนาชุมชน

มาเรียนสาขานี้เพราะอยากกลับไปพัฒนาชุมชนของหนูเอง แต่พอมาเรียนลึก ๆ จริง ๆ เขาบอกว่าการพัฒนาชุมชน ไม่ใช่แค่กลับไปพัฒนาชุมชนของตัวเอง แต่เราต้องพัฒนาตัวเองและชุมชนเมื่อมีโอกาส ความคิดจากที่ว่าแค่ในชุมชน เราต้องกระตือรือร้นกับทุกชุมชน ต้องลงไปพัฒนาทุกชุมชนที่เรามีโอกาสเข้าไป


ขยายความคิดเราออกจากจุดเล็ก ๆ ให้กว้างขึ้น

ใช่ค่ะ จากที่เราคิดว่าการพัฒนาชุมชน แค่นี้เอง แต่พอลงลึกไปแล้ว มันไม่ได้ง่าย เราเรียนหมดเลย เรียนไปถึงจิตของคน เรียนจิตวิทยาควบคู่ไปด้วย ทำให้เรารู้ว่าเวลาคนเป็นแบบนั้น เราไม่ควรเข้าไปพูดกับเขา ด้วยความเป็นเด็ก ถึงเวลาพูดก็เข้าไปพูด ชาวบ้านไม่พูดกับเราหรอก สำหรับหนูคุ้มนะ ได้เรียนรู้ทั้งชุมชน ได้เรียนรู้ตัวเอง ได้เรียนรู้หลายแขนงวิชามารวมกัน หลายศาสตร์มารวมกันในวิชานี้


สรุปให้พี่หน่อยสิ ว่าเป็นบทเรียนสำหรับพี่เลี้ยงที่จะต้องรับมือกับกลุ่มเด็กผู้ชาย เราควรจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง

ข้อหนึ่ง ไม่ควรใช้อารมณ์ในการพูดคุยกับน้อง เพราะด้วยความที่น้องเขาเป็นผู้ชายด้วย ยิ่งพูดด้วยอารมณ์ เขาก็ยิ่งขึ้นมากกว่า อารมณ์ผู้ชายกับผู้หญิงมันต่างกันอยู่แล้ว ข้อสอง เราต้องรับมือในเรื่องความรับผิดชอบด้วย เพราะว่าผู้ชายความรับผิดชอบจะต่ำกว่าผู้หญิงอยู่แล้ว ตรงนี้พี่เลี้ยงจะต้องกระตุ้นเรื่อย ๆ


หลัก ๆ มีสองอย่างนี้ มีอีกไหม

สองอย่างนี้สำคัญที่สุดแล้ว ต้องกระตือรือร้นกับเรื่องความรับผิดชอบ นิสัยผู้ชาย อะไรก็ได้เสร็จ ๆ ไป แต่เราต้องฝึกให้เขาเรียบร้อย ทำงานทบทวนก่อน


แล้วไหมคิดว่าตัวเองเป็นพี่เลี้ยงสไตล์ไหน ถ้าให้นิยามตัวเอง

อะไรก็ได้ค่ะ แต่งานต้องเสร็จ เป็นพี่เลี้ยงที่ไม่ได้บังคับน้องให้ทำ จะทำอะไรก็ทำ อยากกินอะไรบอก ถ้าหามาได้จะหาให้ แค่คุณตั้งใจทำงาน มีความรับผิดชอบ


แล้วมันใช้ได้ผลใช่ไหม เป็นแรงจูงใจให้น้อง ๆ ได้

ใช่ค่ะ ทำให้น้องๆ กระตือรือร้น ถ้าเราไปบงการเขาทุกเรื่อง ขนาดตัวเองโดนแบบนี้ยังรู้สึกแย่ ถ้าไปทำกับน้อง น้องคงรู้สึกแย่เหมือนกัน งานเสร็จอย่างอื่นได้หมด เขาบอกว่าถ้าเสร็จสรุปตรงนี้แล้วนะ จัดปิ้งย่างให้เขาหน่อย ย่างลูกชิ้นหน้าบ้านให้ถุงหนึ่ง จัดให้เขา ให้เขามีแรงจูงใจทำงาน เขาก็มีกำลังใจ หลัง ๆ น้ำโค้กก็พอแล้ว เขาเกรงใจ เขาทำแล้วมันเป็นหน้าที่ที่เขาต้องทำอยู่แล้ว แค่น้ำโค้กก็พอแล้ว ให้เขาได้กินน้ำ ไม่เอาน้ำเปล่า แค่นั้นแหละ หลัง ๆ เขาก็รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้แล้ว


ความฝันของเราในอนาคต เรามีเป้าหมายของตัวเองอย่างไรบ้าง

ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้ไหม คิดว่าอยากเป็นปลัดอำเภอ แต่ก็มีคนถามว่าเรียนชุมชน ถ้าปลัดต้องไปเรียนรัฐศาสตร์ไม่ใช่เหรอ หรือรัฐประศาสนศาสตร์ หนูก็บอกว่าไม่จำเป็นเสมอไป มันอยู่ที่การอ่าน พัฒนาชุมชนสามารถเป็นตำแหน่งสูง ๆ ได้ เขาแค่เข้าใจว่าไปเป็นนักพัฒนาเฉย ๆ แต่สำหรับไหม ไหมหาข้อมูลมาหมดแล้วที่เรียน ก็เลยอธิบายให้เพื่อนฟัง มันไม่ได้เป็นแค่นักพัฒนานะ เรียนพัฒนาชุมชนสามารถเป็นตำแหน่งสูง ๆ ได้ อยู่ที่เราพยายามมากกว่า อาจารย์ก็ถามว่า มันไม่ใช่รัฐประศาสนศาสตร์เหรอ ปลัดอำเภอต่อให้เรียนรัฐประศาสนศาสตร์มา ถ้าไม่อ่านไม่สอบเพิ่มเติม ก็เป็นไม่ได้ค่ะ อยู่ที่ตัวเรามากกว่า หนูก็เลยวางความฝันสูงสุดของหนูไว้เลย หนูอยากเป็นปลัด ทำให้หนูได้มีแรงจูงใจ ตั้งใจมุ่งมั่นเรียนและหาข้อมูลข้างนอกมากกว่าในห้องเรียน แต่ก็ไม่ได้หวังถึงขั้นนั้น เพราะไม่ได้ก็จะเจ็บ แต่ความฝันใคร ๆ ก็ฝันได้


ก็ทำได้แหละ สะสมประสบการณ์

ถ้าไม่ได้ก็เป็นนักพัฒนา เรามีแรง ถ้างานไหนมีแรงใช้ได้ มันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งแล้ว เราได้รับประโยชน์ เราได้รับมาแล้ว เราแชร์ต่อ แค่ได้พัฒนาก็ดีใจแล้ว


จริง ๆ คำถามก็หมดแล้ว แต่ที่อยากรู้ ถ้าเราอยากไปเป็นปลัด เราต้องไปสอบถูกไหม มันต้องสอบอะไร

ขั้นแรกก็ต้องสอบพนักงานราชการให้ได้ก่อน เพราะว่าด้วยความที่หนูเรียนพัฒนาชุมชน มันไม่ได้ปกครองท้องถิ่นโดยตรง หนูต้องสอบข้าราชการให้ได้ก่อน เมื่อสอบข้าราชการได้แล้ว จะเปิดสอบภายใน เลื่อนตำแหน่ง หนูก็ต้องไปสอบ ก.พ. รวมทุกวิชาทุกความรู้ทุกศาสตร์ สอบ ก.พ. ได้แล้ว ไม่ใช่ว่าได้เป็นเลย ก็เลือกตำแหน่งที่เราต้องไปสอบเพิ่ม เหมือนกับตำรวจทำงานก็เพิ่มยศไปทีละขั้น ของหนูก็ใช้วิธีการสอบเลื่อนตำแหน่งไปทีละขั้นเหมือนกันทำงานข้าราชการที่บ้านก็ภูมิใจไปขั้นหนึ่งแล้ว ยิ่งได้เป็นปลัดยิ่งทำให้เขามีแรงกำลัง วันนั้นยอมติดหนี้เพราะส่งเรียนก็โอเคแล้ว อย่าให้เป็นหนี้แล้วส่งควายเรียนแบบนี้ไม่เอา


ว่าตัวเองก่อนจะได้ไม่เจ็บ

ใช่ค่ะ หนูว่าตัวเอง หนูพยายามพูดกับตัวเองว่า อย่าให้เขาว่าติดหนี้เพื่อส่งควายเรียน ติดหนี้เพื่อให้ได้งานที่ดี กลับไปให้เขาเห็นว่าเราทำได้


มันก็ไปได้นี่นะ ถ้าจะเป็น ถูกไหม

แต่หนูแหวกแนวค่ะ หนูไม่ชอบเหมือนใครในบ้าน ที่บ้านเอาไม่อยู่แล้ว นอกจากพ่อที่บ้านก็ไม่มีผู้ชายด้วย เราใช้นิสัยผู้ชายไปปราบพ่อกับแม่หรือเปล่าอันนี้ก็ไม่รู้ ตั้งแต่ ม.4 เขาให้เรียนวิทย์-คณิต ก็เรียนตามที่เขาขอแล้ว ผลที่ออกมา เกรดก็ตกตามที่แม่ขอเลยค่ะ พอหลัง ๆ หนูบอกว่าขอให้หนูเลือกทางตัวเองเถอะ ดี๋ยวคอยดูว่าเกรดหนูพัฒนาแน่นอน จนเทอมหนึ่งเขาเห็นเกรดก็บอกว่า งั้นก็ตั้งใจเรียน สู้ ๆ เรียนให้จบ เกรดมันดี เขาก็โอเคแล้ว แสดงว่าชอบจริงแล้ว


อยากให้ย้ำอีกทีว่า ปีแรกเราทำโครงการอะไร แล้วเป้าหมายการทำงานคืออะไร ปีที่สองทำอะไร

โรงเรียนบ้านนาพญาเป็นโรงเรียนอยู่ในหมู่บ้าน ปีแรกเราทำโครงการสืบค้นประวัติบ้านนาพญา ทำออกมาเป็นหนังสือรูปเล่ม คาดหวังให้เป็นหนังสือประวัติศาสตร์เพื่อให้เด็กไว้อ่านที่โรงเรียน หรือไว้สำหรับคุณครูนำไปสอนเด็ก อยากให้ครูได้ซึมซับร่วมกับเด็กไปด้วย นั่นคือความคาดหวังจากหนังสือที่เราทำในปีแรก


แล้วตอนนั้นทำไมถึงต้องเลือกศึกษาประวัติ ไม่ทำเรื่องนี้ได้ไหม

ตอนที่ทำปีแรก ไม่ทำเรื่องนี้ก็ได้ แต่เราอยู่กับชุมชนตัวเอง เรายังไม่รู้ประวัติบ้านตัวเอง แล้วจะเอาข้อมูลไปเผยแพร่ให้กับคนนอกชุมชนได้อย่างไร ถ้าเขาถามว่าชุมชนนี้เป็นอย่างไร อยู่ ๆ จะมาพัฒนา หนูไปเรียนในตัวเมืองแต่บ้านอยู่ชนบท บ้านนาพญาส่วนใหญ่คนไม่รู้จักค่ะ ว่าบ้านนาพญาเป็นอย่างไร อยู่ตรงไหน เลยอยากให้คนนอกชุมชนได้เห็นว่าบ้านนาพญาก็มีดี โดยเราเริ่มต้นหาข้อมูลประวัติบ้านของตัวเองมาเล่าให้คนอื่นได้ฟัง มีหลักฐานชัดเจนว่าสิ่งที่เราเล่าไปเป็นจริงที่อยู่ในหมู่บ้านของเรา เขาจะได้รู้จักชุมชนของเรามากขึ้น ส่วนปีที่สองภูมิปัญญาจักรสานเตยหนาม อันนี้เป็นรุ่นน้องปีที่สองเลือกกันเอง แค่คอยสนับสนุน


เราดูสนุกกับการที่ต้องเรียนรู้แบบลงมือทำเอง

ใช่ค่ะ หนูไม่ชอบเรียนในห้องเรียนสี่เหลี่ยม


เรารู้ตัวว่าเราชอบเรียนรู้แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร

หนูรู้ว่าตัวเองไม่ชอบเรียนในห้องสี่เหลี่ยม ตั้งแต่มีโอกาสเข้าร่วมโครงการ เมื่อก่อนที่บ้านบอกว่าเรียนครูนะ เราโอเค ตั้งใจว่าจะสอบครูให้ติด แต่พอเข้าโครงการมาความคิดเปลี่ยน แหวกแนว ตัวตนเราเป็นแบบนี้ เราไปทำอีกแบบหนึ่ง มันก็ไม่มีความสุข แต่พอเราทำในสิ่งที่ต้องการ ได้เรียนรู้นอกห้องเรียนมันรู้สึกต่างกันมากเลย เราชอบสิ่งนี้จริงๆ แล้วก็ทำออกมาได้ดี ถ้าเอาเรื่องการเรียนมาวัด ผลการเรียนเราก็ดีขึ้นจากการทำโครงการ ที่ได้โควตาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเป็นคนแรกของโรงเรียนตอนนั้น ก็เป็นเพราะผลงานจากโครงการ Active Citizen ที่ทำมาทั้งหมด


พอเราเรียนมหาวิทยาลัยก็ต้องพยายามหากิจกรรมอะไรทำ

ใช่ค่ะ หนูก็พยายามหา บางทีก็ถามพี่บิว ลำพูนมีอะไรทำบ้าง ถ้าว่าง ๆ บอกน้องด้วยนะ น้องจะไปด้วย น้องจะไปเที่ยวหา ลำพูนกับลำปางก็ไม่ได้ไกลกัน ถ้ามีงานอะไรก็บอกด้วยนะ อยากไปดูอยากไปร่วมอีก


เป็นคนได้งานอะไรเพิ่มแล้วดีใจ คนอื่นนี่แบบตกใจ ประหม่า หนูเอาพลังมาจากไหน

หนูคิดว่าถ้าหนูได้งานเพิ่ม หนูก็ได้เรียนรู้เพิ่มเติม ยิ่งอยากเป็นสูงก็ต้องยิ่งเขย่งให้สูงกว่าคนอื่น ชอบค่ะ ท้าทายดีค่ะ มาที่นี่มาอยู่คนเดียว มาเรียนคนเดียว ไม่ได้ซีเรียสว่าใครจะมาด้วยไม่มาด้วยแล้วแต่ เดินทางของตัวเองอย่างเดียว


บางทีที่หนูจะต้องไปทำกิจกรรมคนเดียว เพื่อนนัดไปเที่ยวก็ทิ้งเพื่อน หนูไม่ได้แคร์หรือ ว่ากลัวจะไม่มีเพื่อน เหมือนเราปลีกตัวออกมา อะไรแบบนี้

หนูก็ไม่ได้แคร์ค่ะ หนูเรียนของหนู เพื่อนไม่ได้มาทำให้เกรดหนูเพิ่ม อย่างหนึ่งถ้าเราว่าง เราก็ไปเที่ยวกับเพื่อนปกติ แต่ถ้าเรามีโอกาสได้ไปศึกษา หนูเลือกไปศึกษามากกว่า เพื่อนก็ไม่ได้อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว


ก็ไม่ใช่คนติดกลุ่มติดเพื่อน

ส่วนใหญ่เพื่อนไปเที่ยวกลางคืนกัน หนูก็บอกว่าไม่เที่ยวกลางคืน ถ้าเธอจะไม่รับฉันเป็นเพื่อนก็ไม่เป็นไร แต่ฉันไม่เที่ยวกลางคืน ถึงเวลาของฉัน ฉันก็กลับ ถ้าวันไหนไปนอนบ้านเธอก็โอเค กำหนดวันมาให้ถูกต้องว่ากี่วัน จะไปไหนก็ต้องชัดเจนกับหนูก่อน ไม่งั้นหนูไม่ไป หนูต้องชัดเจน


มีชวนเพื่อนไปทำเหมือนเราบ้างไหม

ก็มีชวนบ้าง อย่างวันนั้นอาจารย์นัด เขาแค่ขอตัวแทน ไปด้วยค่ะ ไม่ได้เป็นตัวแทน แต่เสนอหน้าไปด้วยค่ะ ไม่ใช่ว่าจะเอาดีเอาเด่นอะไร แค่เราอยากรู้ เราติดนิสัยต้องการรู้ อยากได้ความรู้ความคิดของเขาเวลานั่งรวมกัน


พอมันจุดติด เราก็เลยกลายเป็นคนที่แอคทีฟอยากจะวิ่งไปเรียนรู้ทุกครั้งที่มีโอกาส

ใช่ค่ะ มีโอกาสทุกครั้งก็แอคทีฟตัวเอง อย่างช่วงที่ปิดเทอมไป ไหมกลับบ้าน ปิดเทอมหนึ่งเดือนใช่ไหมคะ แต่ไหมอยู่บ้านไม่ถึงเดือน อาจารย์ถามว่ามีใครต้องการไปแนะแนวสาขากับอาจารย์ไหม ขึ้นมาจากสตูลเลยค่ะ ทั้ง ๆ ที่โรงเรียนไม่เปิดเทอม บอกแม่ว่าจะไปแล้วค่ะ ไปแนะแนวกับอาจารย์ค่ะ ยอมกลับมาทั้งที่มีเวลาอีกตั้งอาทิตย์สองอาทิตย์ มาอยู่มหาวิทยาลัยรอเลยค่ะ เปิดไม่เปิดช่างมัน อยู่บ้านตอนนั้นมันก็ไม่มีอะไรทำ รู้สึกมันว่างเปล่า