ตั้งใจอ่านดีๆ ล่ะ แล้วพวกผมจะเล่าให้ฟังว่าอะไรมันเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านบาโรย
..............................พร้อมลุยไปกับพวกเราแล้วหรือยัง????
กับโครงการ ค่ายอาสาพัฒนาเพื่อการพึ่งพาตนเอง ภายใต้กระบวนการเรียนรู้ที่ยั่งยืน ไปกับพวกเรากลุ่ม
“ว่าที่ครู สร้างสรรค์สิ่งดีๆสู่สังคม” ครูซึ่งไม่ได้เป็นแค่วันนี้หรือในอนาคต แต่มันต้องเป็นไปตลอดชีวิต
ทำไมเราถึงไปที่นั้น….?
แปลกเหมือนกันนะครับ ว่าทำไม? พวกเรากลุ่ม “ว่าที่ครูฯ” ถึงเลือกที่จะไปสร้างสรรค์สิ่งดีๆสู่สังคม ณ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านบาโรย อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ทั้งที่พื้นที่แห่งนี้ เราไม่เคยมีโอกาสเข้าไปก่อนหน้านี้แม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีสมาชิกของกลุ่มคนใดอาศัยอยู่ในพื้นที่ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเราเข้าไปในพื้นที่แห่งนี้ ก็เพราะว่าคำๆเดียวเลยครับ คือ อยาก…! อิอิ พวกเราอยากที่จะออกค่ายอาสา เพื่อไปพัฒนาในโรงเรียน ตชด. ณ ที่ใดที่หนึ่ง ก็เลยหาข้อมูลต่างๆจาก internet ครับ ในที่สุดก็ไปพบกับชื่อของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยทักษิณของเราเอง ท่านหนึ่งครับ นั้นคืออาจารย์ พเยาว์ อินทสุวรรณ ท่านทำหน้าที่ดูแลโรงเรียน ตชด ในพื้นที่ของจังหวัดสงขลา เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ของพระเทพฯ ครับ พวกเราก็เลยเชิญท่านมาเป็นที่ปรึกษาซะเลยครับ จากนั้นก็มีโอกาสได้คุยกับอาจารย์ในโรงเรียน ทำให้เรารู้ว่า ณ ที่แห่งนี้ ดิน ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกพืชผัก เพราะเป็นดินเหนียวปนทราย หน้าฝนน้ำท่วมขัง พอหน้าแล้งแห้งระแหง ….. จึงกลายมาว่า เอาไงเอากันว่ะ เพาะเห็ดนี้แหละ ไม่เห็นจำเป็นต้องง้อดินเลย มันอยู่ของมันเอง ดินไม่เกี่ยว…..! นี้แหละ ที่มาและความสำคัญของโครงการ “ค่ายอาสาพัฒนา เพื่อการพึ่งพาตนเอง ภายใต้กระบวนการเรียนรู้ที่ยั่งยืน”
แล้วกระบวนการจัดการล่ะเราทำอย่างไร….?
กว่าจะนำมาซึ่งความสำเร็จ มันเหนื่อยมากเลยนะครับ นึกดูสิ นักกิจกรรมอย่างพวกผม ทำทุกอย่างในมหาวิทยาลัย ทั้งงานคณะ งานสาขา งานทั่วไป โครงการต่างๆ เยอะแยะครับ ที่สำคัญเราได้มาร่วมโครงการในครั้งนี้กับทีมงาน สงขลาฟอรั่ม ครับ ซึ่งครั้งนี้เราได้งบสนับสนุน 20,000 บาท จากมูลนิธิสยามกัมมาจล อิอิ เงินสองหมื่นก็จริงครับ ถามว่ามันพอหรือป่าวครับที่จะไปสร้างโรงเรือน เพาะเห็ด ตอบได้เลยครับว่าไม่พอ เราจึงใช้วิธีการระดมทุน โดยการประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ทั้งการออกไปขอรับบริจาค การใช้ social network การตั้งกล่องรับบริจาค เป็นต้นครับ ต้องโดนอะไรมาเยอะแยะทีเดียวครับ ทั้งแม่ค้าในในตลาดนัดด่าหรือไม่พอใจ หรือแม้บางที่ถึงขั้นเรียก รปภ. มาหาพวกผมเลยครับ อิอิ นึกแล้วขำแล้วก็หวาดเสียวด้วยครับ จนในที่สุด จากเงิน 20,000 บาท เราได้เพิ่มเป็น 90,000 กว่าๆ เกือบแสนเลยล่ะครับ ในเมื่อเงินพร้อมแล้วขั้นต่อไปคือคนครับ พวกผมประกาศรับสมัครคนที่มีจิตอาสาเข้าร่วมโครงการครับ เหลือเชื่อไหมล่ะครับ ทั้งที่มันเป็นช่วงเวลาที่ปิดเทอมแล้ว ยังมีคนสมัครไปราวๆ 40 คนครับ ไม่ได้มีเฉพาะในสาขาผมนะครับ มีทั้งรุ่นน้อง เพื่อนต่างสาขา อาจารย์ต่างคณะก็มาร่วมด้วยครับ นอกจากนี้ก็ไปอ้อนคุณลุงคุณป้าในชุมชน เขาก็มาอย่างเต็มใจ น่ารักมากเลยครับ
อยากรู้ไหม ว่าพวกผมไปสร้างวีรกรรมอะไรไว้บ้าง….?
อิอิ ในเมื่อเงินพร้อม คนพร้อม เราก็เริ่มลงมือปฏิบัติกันเลยครับ เราจัดกันในวันที่ 1- 3 มีนาคม 2556 ในค่ายของเรานั้นถ้าทุกคนได้ไปเห็นจะรู้ว่ามันสนุกแค่ไหนครับ นึกภาพดูสิค่ายนี้มี 40 กว่าคน เป็นผู้หญิงซะ 35 คน ผู้ชายอีกตั้ง 5 คน มิหนำซ้ำ ผู้หญิงขนทราย เลื่อยไม้ ตอกตะปู ในขณะที่ผู้ชายเป็นพ่อครัว หุงข้าว ทำอาหารไว้เลี้ยงทั้ง 40 ชีวิต อิอิ น่าแปลกไหมล่ะครับ จนป้าหนูถึงกับเรียกค่ายนี้ว่า“ค่ายหญิงเหล็ก”
สิ่งที่เราไปทำให้กับน้องๆ และโรงเรียนนั้น เราไปได้สร้างโรงเรือนเพาะเห็ดให้น้องๆครับ เป็นโรงเรือนที่มั่นคงถาวร เหมือนบ้านหลังหนึ่งเลยล่ะครับ นอกจากนี้ก็ได้สั่งก้อนเห็ดจำนวน 1,000 เพื่อเป็นทุนให้น้องๆครับ ไม่พอเท่านี้ครับ เราได้สร้างห้องแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติครับ โดยใช้ชื่อว่า “ห้องกลางป่า การศึกษาเพื่อการพึ่งตนเอง” เป็นห้องเรียนที่อยู่ในสวนพืชผักสวนครัวครับ นอกจากนี้ก็ยังจัดหาเก้าอี้พนักพิงอีก 20 ตัวครับ เพื่อให้น้องๆได้ใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอนในห้องเรียนแห่งนี้ครับ ยังไม่หมดครับ เราได้ซื้อโต๊ะ ญี่ปุ่น จำนวน 20 โต๊ะ เพื่อเอาไว้ให้น้องๆได้อ่านหนังสือในห้องสมุดครับ อีกทั้งเปิดบัญชีเงินฝากไว้ให้น้องๆต่อยอด อีก 5,000 บาทครับ และยังมีการมอบเงินกองทุนหนังสือพิมพ์อีก 3,000 บาทครับ
สิ่งที่ยังกึกก้องในหัวใจ…..?
“เอาอย่างนี้แล้วกันครับ น้องๆไม่ต้องมาทำอะไรมากหรอก แค่ทำป้ายโครงการมาก็พอครับ แล้วค่อยมาถ่ายรูปหน้านี้ก็ได้ครับ จะได้เอาเงินไปใช้ให้เกิดประโยชน์ด้านอื่น เพราะพี่เข้าใจว่า ส่วนมากราชการเขาก็ทำกันแบบนี้ทั้งนั้นครับ เพราะพี่เห็นเวลาพระองค์ เสด็จเขาก็จะเข้ามาพัฒนากันใหญ่เลยครับ แต่พอพระองค์เสด็จกลับ เขาก็หายไป เขาทำเพื่อเอาหน้ากันทั้งนั้นครับ” นี้คือเสียง 1 เสียง ที่พูดด้วยความน้อยใจในระบบการทำงานของข้าราชการ
ผมฟังแค่นี้ผมก็เข้าใจแล้วครับ ว่าพี่เขาน้อยใจแค่ไหน ผมเองก็เสียใจครับ และก็ยอมรับว่า สิ่งที่เขาพูดมันเป็นความจริง เรากล้าที่จะยอมรับไหมครับว่า..? ทุกครั้งที่เจ้านายพระองค์ต่างๆ เสด็จ หน่วยงานทั้งภาครัฐเอกชน ตลอดจนข้าราชการ จะกระเสือกกระสนเข้าไปเพื่อพัฒนาให้ทุกอย่างดูดีในพริบตา ทั้งที่ก่อนหน้านี้อาจจะไม่เคยให้ความสำคัญ หรือเมื่อพระองค์เสด็จกลับ เหล่าท่านทั้งหลายก็ไม่เคยหันกลับมามอง นี้แหละครับ คือความน่าน้อยใจ สำหรับผม คำว่าข้าราชการ นั้นหมายถึง เราเป็นข้าของพระราชา เป็นข้าของแผ่นดิน เพราะฉะนั้น ทุกวินาที คือการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม มิใช่ทำเพื่อตนเอง ทำเพื่อเอาเกียรติยศ และชื่อเสียงทางสังคม เพราะหากมันเป็นเช่นนั้น ประเทศเราไม่มีคำว่าเจริญได้อย่างแน่นอน…..!
อยากจะบอกดังๆว่าขอบคุณมากๆนะคร้าบๆๆ….!!
ผมไม่กล้าที่จะพูดหรอกครับ ว่ามันเป็นเพราะพวกผมทั้ง 5 คนจึงทำให้โครงการในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นไปไม่ได้ครับ!! สิ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จ เริ่มแรกเลย นั้นคือคุณพ่อคุณแม่ของพวกเรา ที่ให้กำเนิดพวกเรามา เป็นคนดีของสังคม ต่อจากนั้นขอบคุณครูบาอาจารย์ทุกๆท่าน ที่เคยอบนมสั่งสอนพวกเรามา ตามด้วยคุณป้าและพี่ๆ จากสงขลาฟอรั่ม ตลอดจนมูลนิธิสยามกัมมาจล ที่เป็นต้นคิดในการขัดเกลาเยาวชน ให้เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ ขอบคุณคุณครูที่ปรึกษา ท่านอาจารย์พเยาว์ อินทสุวรรณ ที่ปรึกษาที่แสนจะใจดี ขอบคุณผู้มีจิตศรัทธา ที่ร่วมบริจาคเงิน ทั้งที่ถนนคนเดินสงขลา ตลาดนัดกรีนเวย์ ตลาดนัด บขส. เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ชาวคณะศึกษาศาสตร์ และคณะอื่นๆในมหาวิทยาลัยทักษิณ ขอบคุณพ่อค้าแม่ค้าทั้งในมหาวิทยาลัยทักษิณ และร้านค้าต่างๆที่สนับสนุนบริเวณหน้ามหาวิทยาลัย ขอบคุณสมาชิกค่ายทั้งเพื่อนๆสุดที่รักและอาจารย์คนเก่งอย่างอาจารย์ดิญะพร ที่สร้างสีสัน และทำให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ขอบคุณผู้ใหญ่และชาวบ้าน คุณครูโรงเรียน ตชด. บ้านบาโรยทุกท่าน ที่ให้โอกาสพวกเรา และคอยช่วยเหลือพวกเราตลอดเวลาที่ผ่านมา สุดท้ายขอบคุณพวกเรา 5 หนุ่มบอยแบนด์ ที่รักและห่วงใยกันมาโดยตลอด ไม่เคยทิ้งกัน………..ขอบคุณทุกคนนะครับ !!
บทความโดย ณัฐพล ราตรีพฤกษ์
ภาพถ่ายโดย กิตตินัท์ มากเกลื่อน