เป็นครั้งแรกที่ได้มาเยือน “เกาะสุกร” มาทำงานในฐานะเจ้าหน้าที่ทีมสื่อสารสังคม ของมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) ในโครงการสร้างชุมชนบริหารจัดการตัวเองในพื้นที่ประสบภัยสึนามิ โดยมีเวทีสัญจรที่ จ.ตรัง และหนึ่งในพื้นที่คือ บ้านแหลม/บ้านทุ่ง ต.เกาะสุกร แหลมทุ่ง อ.ปะเหลียน จ.ตรัง เมื่อวันที่ 8 – 9 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา
ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อ “เกาะสุกร” ก็น่าสนใจเพราะคิดว่าที่นี่ต้องมี “หมู” แน่ๆ แต่มาได้รับข้อมูลเพิ่มเติมว่า ชุมชนที่นี่เป็นชาวมุสลิมเกือบร้อยเปอร์เซนต์ เพราะฉะนั้น “หมู” หรือ “สุนัข” ไม่มีที่เกาะนี้อย่างแน่นอน ทำให้เกิดคำถามว่า แล้วทำไมจึงชื่อว่า “เกาะสุกร” ข้อมูลในอินเตอร์เนตบอกว่าสำหรับที่มาของชื่อ เกาะสุกร นั่นมีเรื่องเล่าหลากหลาย เช่น ในอดีตบนเกาะมีหมูป่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งมีชาวประมงกลุ่มหนึ่งซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม ได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่บนเกาะ จึงขับไล่หมูป่าออกไปจากเกาะ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนชายฝั่งมองไปเห็นฝูงหมูป่ากำลังว่ายน้ำอยู่ จึงเรียกเกาะนี้ว่า ก่อนจะเปลี่ยนเป็น เกาะหมูเกาะสุกร
และอีกตำนานหนึ่งเล่าว่า มีเรือสำเภาของเศรษฐีมาจอดที่ปากน้ำ ซึ่งลูกชายของเศรษฐีนับถือศาสนาอิสลาม มาชอบลูกสาวของตายายที่นับถือศาสนาพุทธ และได้อยู่กินกันเป็นเวลานาน ต่อมาเรือสำเภากลับมาที่ปากน้ำ ตายายจึงมาเยี่ยมลูกสาว โดยเตรียมหมูปิ้งไม้เสียบมาให้ลูก แต่ลูกสาวแกล้งจำพ่อแม่ไม่ได้ ตายายโกรธ
เป็นไปได้ทั้งสองตำนาน อยู่ที่เราจะชอบตำนานไหน................
ข้อมูลของเกาะสุกร หรือที่เรียกกันว่า เกาะหมู เป็นตำบลหนึ่งของอำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง ตัวเกาะขนานกับแนวชายฝั่ง และห่างจากฝั่งเพียง 3 กิโลเมตร สภาพตัวเกาะประกอบด้วยภูเขา สวนยางพารา ป่าโกงกาง นาข้าว และทะเล ทำให้ชาวบ้านบน เกาะสุกร มีอาชีพประมง ทำสวนยาง และเกษตรกรรม นอกจากนี้ เมื่อหมดฤดูนาข้าวในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน ก็จะเห็นไร่แตงโมพันธุ์หวานแดงอร่อย ออกผลเต็มทั่วท้องทุ่ง เพราะเป็นสินค้าขึ้นชื่อของ เกาะสุกร
รู้จัก “เกาะสุกร” มากพอควร คราวนี้ มารู้จักคนในชุมชน “บ้านแหลม/บ้านทุ่ง” ที่รวมกลุ่มกันเข้าโครงการสร้างชุมชนบริหารจัดการตัวเองในพื้นที่ประสบภัยสึนามินี้กัน ว่ามีความน่าสนใจอย่างไร
นางสาวสุทิน สีสุข ผู้ประสานงานสถาบันวิจัยเพื่อท้องถิ่น จังหวัดตรัง
เล่าที่มาว่า
โครงการนี้เป็นการนำ “กระบวนการวิจัยเพื่อท้องถิ่น” มาใช้ตั้งแต่เริ่มด้วยให้คนในชุมชนรวมตัวกันขึ้นมาร่วมคิดร่วมกันค้นหาปัญหา ของตนเอง ค้นหาสิ่งที่อยากจะแก้ เป็นกระบวนการที่ทำให้ชาวบ้านเห็นถึงปัญหาของตัวเอง
ดังนั้น สิ่งที่ ชุมชนนี้เลือกโจทย์ มาทำก็คือ “ชุมชนจัดการตนเองเพื่อความมั่นคงด้านอาหาร” เพราะที่นี่แต่โบราณกาล อาชีพดั้งเดิมคือ การทำนา ที่ปู่ย่าตายาย ภูมิใจไม่ต้องซื้อข้าวกินก็มีชีวิตอยู่ได้ แต่ด้วยสภาพปัจจุบันที่ดินกำลังจะสูญหาย คนรุ่นใหม่ไม่สนใจการทำนา จึงทำให้เกิดโจทย์นี้ขึ้นมา โดยมีกระบวนการวิจัยเพื่อท้องถิ่นเข้ามาช่วยเป็นพี่เลี้ยงและมูลนิธิสยามกัมมาจลได้มาช่วยต่อยอด จนปัจจุบันความเข้มแข็งของชุมชน “บ้านแหลม/บ้านทุ่ง” เริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างโดยมี “จ๊ะหนา” หรือ “นางสาวรัตนา ไชยมล”เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลัก โดยมีผู้ใหญ่ใจดีในหมู่บ้านที่คอยมาช่วยเหลือกัน
ในวันที่ไปเยือน ได้เห็นภาพของคนในชุมชนที่ออกมานำเสนอ บรรยายการทำงานแบบรู้หน้าที่ โดยมีการเก็บ “ข้อมูล” ที่มีมากมายมหาศาลเป็นหลักในการทำงาน จากเสียงสะท้อนของชาวบ้าน บอกว่าเพราะโครงการฯ นี้ทำให้สามารถดึงวิถีชีวิต ดั้งเดิม “การซอนา” (ลงแขก) กลับมาใหม่อีกครั้ง ทั้งๆ ที่ได้หายไปนานมากเพราะต่างคนต่างเร่งทำผลผลิตของตัวเอง แต่ด้วยโครงการฯ นี้ทำให้เห็นปัญหา ค่าแรงค่าปุ๋ย ค่าพันธ์พืชฯลฯ ทำให้มีการรื้อฟื้นกระบวนการนี้กลับมาอีกครั้ง สิ่งที่ได้คือการได้รวมกลุ่มกันช่วยทำนา ได้พูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบ “รู้สึกว่าดีจริงๆค่ะที่ได้กลับมาช่วยกันอีกครั้ง” ชาวบ้านคนหนึ่งบอก
จากการรวมกลุ่ม มาเป็นศึกษาการดูงาน การผลิตพันธุ์ข้าวเอง การทำปุ๋ยหมัก เกษตรอินทรีย์ ฯลฯ ความยั่งยืนหลายอย่างกำลังตามมาเพราะเกิดจากการเรียนรู้จากการทำโครงการฯ นี้ และเกิดการจัดตั้ง “กองทุนชาวนา” ที่เห็นเป็นรูปธรรมของผลที่เกิดขึ้นจากความพยายามรวมกลุ่มของคนในชุมชน
แม้จะมีเสียงสะท้อนจากคนรุ่นพ่อถึงความกังวลเกี่ยวกับ “ผืนนา” ที่กำลังถูกนายทุนจากนอกพื้นที่กว้านซื้อเพื่อทำรีสอร์ทและอื่นๆ หรือ ความกังวัลเกี่ยวกับลูกหลานที่ไม่มีใครคิดจะสานต่อการทำนา แต่เพราะโครงการฯ นี้ยังทำให้ทุกคนเห็นความหวัง ภาพเยาวชนตัวน้อยๆ ที่ผู้ใหญ่พยายามเปิดโอกาสให้มาร่วมกิจกรรม วาดภาพชุมชนที่ถนัด กลับไปชวนพ่อแม่คุยทำไมถึงอยากทำนา “เพราะทำนาจึงมีข้าวกิน” เสียงสะท้อนจากพ่อแม่ อาจจะทำให้ทำให้เด็กๆ ได้ซึมซับไปบ้างไม่มากก็น้อย
ภาพวิถีชีวิตดั้งเดิมที่กำลังจะกลับมา ภาพท้องทุ่ง ชายชราจูงควายกลับบ้าน สลับกับสวนแตงโม ต้นมะพร้าวเรียงรายเป็นทิวแถว ตั้งรับชายทะเลที่รายล้อมเกาะกับภูเขาสูง ป่าไม้ นักท่องเที่ยว รีสอร์ท ความเจริญ รถซาเล้งรับนักท่องเที่ยว ภาพเหล่านี้วนเวียน ระหว่างการ “ซอนา” กับ “ธุรกิจท่องเที่ยว” เราได้แต่เอาใจช่วยให้ “คนในชุมชน” ต่อสู้และเดินไปพร้อมๆ กันได้อย่างลงตัว
“บ้านแหลม/บ้านทุ่ง” บน “เกาะสุกร” คือตัวอย่างชุมชนที่น่าจะนำมาเป็นแบบอย่าง ถึงการ “ต่อสู้” กับวิถีชีวิตเก่า-ใหม่ ขอให้ต่อสู้ต่อไป แล้วเราจะกลับไปเยือนอีกนะ....
ข้อมูลการเดินทาง
สามารถนั่งรถตู้สายตรัง-ย่านตาขาว ลงที่ตลาดย่านตาขาว แล้วต่อรถสองแถวสายย่านตาขาว-ปากปรน-แหลมตะเสะ ระยะทาง 47 กิโลเมตร ถึงท่าเรือแหลมตะเสะ หรือใช้เส้นทางตรัง-ปะเหลียน(หลวงหมายเลข 404) เลี้ยวขวาสี่แยกบ้านนาประมาณ 18 กิโลเมตร และเลี้ยวซ้ายประมาณ 7 กิโลเมตร ถึงท่าเรือ ใช้เวลาเดินทางด้วยเรือหางยาวประมาณ 30 นาที ค่าเช่าเหมาเรือราคา 700 บาท นั่งได้ 10 คน และบนเกาะมีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว
โดย นาถชิดา อินทร์สอาด