โครงการชุมชนจัดการตนเองเพื่อความมั่นคงด้านอาหารตำบลเกาะสุกร อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง (phase1)
โครงการชุมชนจัดการตนเองเพื่อความมั่นคงด้านอาหารตำบลเกาะสุกร อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง (phase1)
กิจกรรมขับเคลื่อนโครงการ
เก็บข้อมูลการทำนาของชุมชนบ้านแหลม บ้านทุ่ง ต.เกาะสุกร อ.ปะเหลียน จ.ตรัง
ความเป็นมา วัตถุประสงค์

ผู้เฒ่าผู้แก่ และเกษตรกรบ้านแหลมและบ้านทุ่ง เล่าเรื่องการทำนาประสาคนเกาะสุกร


วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้ได้ข้อมูลเรื่องราวและปัญหาการทำนาของชุมชนเกาะสุกร
2. เพื่อวางแผนการจัดการปัญหาและการหาข้อมูลเพิ่มเติม

ผู้เข้าร่วมเวที
1. กลุ่มชาวนา ต.เกาะสุกรจำนวน 30 คน
2. ศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.ตรัง จำนวน 2 คน
3. ผู้นำชุมชน (ผู้ใหญ่บ้าน/ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน) จำนวน 2 คน

บันทึกกิจกรรม
ชี้แจงวัตถุประสงค์ของเวที

  นางสาวรัตนา ไชยมล แกนนำกลุ่มชาวนาบ้านแหลม หมู่ที่ 2 ต.เกาะสุกร กล่าวชี้แจงวัตถุประสงค์ของการจัดเวทีในวันนี้ว่าเนื่องจากที่ได้ประชุมพูด คุยกันมาก่อนหน้านี้ 2 ครั้งเกี่ยวกับการรวมกลุ่มทำวิจัยในประเด็นปัญหาที่ชุมชนต้องการ จนกระทั่งสรุปว่าจะทำการศึกษาประเด็นการทำนาของชุมชนเกาะสุกร เนื่องจากว่าชุมชนบ้านแหลมและบ้านทุ่ง (หมู่ที่ 2 และ 3 ตามลำดับ) ยังมีวิถีการทำนาข้าวกันอยู่มากที่สามารถใช้เลี้ยงชีพแก่คนบ้านแหลมและบ้าน ทุ่ง ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่าย และทำให้คนในชุมชนเห็นคุณค่าของที่ดินที่ช่วยให้มีข้าวกินกันมาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน  แต่เนื่องจากการทำนาของพื้นที่เกาะสุกรในระยะหลังมานี้ประสบกับปัญหาหลาย เรื่องมากทั้งเรื่องคุณภาพของข้าวที่ใช้เป็นเมล็ดพันธุ์สำหรับปลูกในแต่ละปี ค่อยๆ ด้อยคุณภาพลงทำให้ผลผลิตตกต่ำ ปัญหาศัตรูพืชที่ระบาดหนักอย่างหอยเชอรี่ และหนูที่คอยกัดกินทำลายต้นข้าว ปัญหาเรื่องน้ำซึ่งบางช่วงนาข้าวขาดแคลนน้ำต้องใช้เพียงน้ำฝน พื้นที่เป็นดินทรายก็เก็บกักน้ำได้ไม่นาน  นอกจากนี้ยังมีปัญหาคนทำนาลดน้อยลง  ขาดคนรุ่นใหม่รับช่วงต่อ คนรุ่นเก่าก็เริ่มแก่ตัวทำนาไม่ไหว ปัญหาการขายที่ดินให้กับนายทุนข้างนอก  จนหลายปัญหากลายเป็นปัญหาใหญ่ของกลุ่มทำนา เมื่อได้มานั่งคุยจึงสรุปว่ากลุ่มชาวนาในพื้นที่ต้องรวมตัวกันเพื่อแก้ไข ปัญหาแต่ละอย่างให้ลุล่วงไป แต่จะให้แก้พร้อมกันทีเดียวคงจะไม่ได้จึงต้องค่อยๆ ทำกันไป จนได้ผลสรุปร่วมกันว่าเบื้องต้นจะแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้กับผู้ที่มีความ รู้เรื่องการทำนา โดยเลือกไปศึกษาดูงานเกี่ยวกับเรื่องพันธุ์ข้าวและการทำนา เพื่อนำมาพัฒนาการทำนาของกลุ่มต่อไป วันนี้จึงจัดเวทีขึ้นเพื่อการรวบรวมประวัต/ รูปแบบ/ปัญหาการทำนา และความต้องการของชาวนาแต่ละคน โดยได้เชิญผู้อาวุโสและชาวนาของชุมชนมาร่วมเวทีเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนร่วมกัน ทั้งนี้การจะแก้ไขปัญหาได้เราต้องรวมพลังและเห็นปัญหาเป็นของเราเราต้องช่วย กันแก้จึงจะไปได้

ชี้แจงวัตถุประสงค์โครงการ
  นายมานพ ช่วยอินทร์ ผู้ประสานงาน สกว.ตรัง กล่าวว่าโครงการที่จะทำนี้เกี่ยวกับการฟื้นฟูการทำนา การทำอะไรก็ตามถ้าจะให้ยั่งยืนเราเห็นปัญหาของเราทั้งหมดครบทุกด้าน  ดังนั้นเรื่องการทำนาเราต้องรู้ประวัติการทำนาตั้งแต่อดีต และความเป็นมาของการทำนาว่าเป็นอย่างไร มีปัญหาอย่างไร จะทำให้เรารู้ว่าเราเป็นอยู่อย่างไร ต้องการความรู้อะไร ซึ่งหน่วยงานเขาก็มีความรู้อยู่จะให้หน่วยงานสนับสนุนความรู้ให้ตรงตามความ ต้องการ ได้อย่างไร
สำหรับโครงการที่จะลงมาทำนี้เป็นการเก็บข้อมูลให้ละเอียดทุกด้าน ว่ามีพันธุ์ข้าวใดที่เหมาะสม คัดพันธุ์อย่างไร ซึ่งก็มีศูนย์วิจัยพันธุ์ข้าวพัทลุงที่เขามีความรู้ จึงอยากให้พวกเราได้ไปศึกษาเรียนรู้ และถ้าคนรุ่นนี้มอบที่ดินให้ลูกหลานที่ไปเรียนจบมาคาดว่ารุ่นหลานก็คงไม่ทำ นาต่อและคงขายที่ดินเสีย ทางศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.ตรังจึงจะมาหนุนกระบวนการวิจัยที่ไม่ติดระบบราชการ โดยเอาเป้าหมายเป็นตัวตั้ง และต้องหาวิธีการทำ  ทำไปแก้ไข โครงการนี้ได้งบประมาณจากมูลนิธิสยามกัมมาจล ที่ได้เงินบริจาคจากสึนามิมาแต่หากให้เงินแบบเดิมก็ทำให้ไม่เกิดประสิทธิภาพ ต่างคนต่างจะเอาและขัดแย้งกัน ทาง สกว.ตรังจึงรับมาดำเนินการเพื่อให้เราได้ทำงานแบบใช้ข้อมูลความรู้ ซึ่งพื้นนี้มีความสนใจ ต่อจากนี้คงไปแลกเปลี่ยนกับพื้นที่อื่นกันก่อน  สำหรับเรื่องของหน่วยงานเกษตรจังหวัดที่ให้ความรู้ได้นั้นคงจะได้ลงพื้นที่ ซึ่งเราก็บูรณาการทำงานร่วมกันได้ 

แลกเปลี่ยนประวัติ/วิธีการทำนาของชุมชนเกาะสุกร
  สุทิน สีสุข ผู้ช่วยผู้ประสานงาน สกว.ตรัง บอกว่าที่ได้คุยกัน 2 ครั้งทำให้เห็นว่าที่นี่ยังมีการทำนากันอยู่มาก รวมทั้งได้ฟังเรื่องการทำนาจากหลายๆ คนทำให้เกิดความสนใจ แต่ข้อมูลที่เล่ายังไม่ได้จัดการอย่างละเอียด จึงคิดว่าเราน่าจะได้รู้ประวัติ รูปแบบหรือความเปลี่ยนแปลงในการทำนาของคนเกาะสุกรกันก่อน ผู้ที่มาร่วมวันนี้มีกลุ่มภูมิปัญญา (ผู้อาวุโส) กลุ่มวัยทำงาน และกลุ่มคนหนุ่ม (จำนวนไม่มากนัก) จะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
  นายอล ไชยมล (ชายนวล) ผู้อาวุโสของชุมชน, อดีตผู้นำของชุมชน อายุแปดสิบกว่าปีบอกว่าเราต้องมาคุยเรื่องการทำนา เพราะต่อไปภายหน้าหากที่ดินไม่ได้ใช้ประโยชน์ลูกหลานจะขายดินกันหมด ลูกหลานเดี๋ยวนี้พูดว่าทำไมแต่แรก(สมัยก่อน)ชาย(ปู่-ตา)ไม่สร้างที่ดินไว้ ให้มาก ๆ เป็นคำพูดที่น่าสลดใจ ช่วงนี้เวลาขับรถไปแปลงนาเห็นที่หลายแปลงล้อมรั้วไว้คิดว่านายทุนคงลงมาซื้อ กันหลายคนแล้ว ขอบคุณอาจารย์ที่มาช่วยปลุกพลังชาวนา เพราะทุกคนที่เติบโตมาได้ก็เพราะข้าว ตอนนี้หลายคนก็แก่ชราอายุ 80 ปีกว่ากันแล้ว การบุกเบิกทำนานั้นแต่เดิมไม่ได้มีเครื่องอำนวยความสะดวก เขาขุดนาโดยใช้แรงคนและแรงควาย ถางป่าขุดไม้ออกให้หมดแล้วก็ปล่อยควายฝูงเข้าเหยียบให้เรียบเป็นบึ้งนา(แปลง นา) ควายไม่พอก็ยืมของคนอื่นมาปล่อย การทำนาทำไร่เขาไม่ได้จ้าง เขาสามัคคีช่วยเหลือกัน แต่ละบ้านสลับกันไปช่วย (น่าจะเริ่มตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2480) เป็นการคาดการณ์เพราะผู้อาวุโสไม่ทราบข้อมูลที่ถูกต้อง คิดจากว่าชายอายุสิบกว่าปี ก็ย้อนหลังได้เกือบเจ็ดสิบปี) คนรุ่นหลังปู่ย่าตายายสร้างไว้ให้แล้ว เด็กจึงควรรักษาไว้เพราะที่นาแปลงนี้แหละที่ทำให้ทุกคนได้เติบโต อย่าเห็นแก่เงินขายให้นายทุน เพราะถ้าขายไปแล้วไม่มีปัญญาจะซื้อที่ดินเพราะแต่ละไร่ราคาแพง  ระบบการทำนาเป็นนาฝน ปีหนึ่งทำครั้งเดียวตามฤดูกาล  หลังจากทำนาก็ปลูกแตงโมต่อ แตงโมเกาะหมูขึ้นชื่อว่าอร่อย ขายได้ และทั้งข้าวและแตงโมนั้นปลอดสารพิษ ข้าวที่ทำกินได้ทั้งปี บางปีก็กินไม่หมดแบ่งปันให้ลูกหลานที่อยู่ข้างนอกได้ แต่ปัจจุบันมีสารเคมีเพิ่มมากขึ้นแล้ว ซึ่งวิธีการของคนแต่แรกนั้นปลอดภัย คนแต่แรกปลูกกินเองปลอดสารพิษ  แต่แรกใช้ต้นสูบา (ต้นเป็นยาง ขึ้นในพื้นที่ แต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว) มาบดมาตำผสมน้ำ เอาน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่เจาะรูรดต้นข้าวรดผักเพื่อป้องกันศัตรูพืช ส่วนการเลี้ยงควายนั้นขี้เป็นปุ๋ยอย่างดีในนาข้าว และยังใช้ขี้ค้างคาวมาชุบรากต้นกล้าก่อนปักดำ แต่แรกใช้คันไถ และแรงควายไถนา ที่เราได้เติบใหญ่ก็เพราะเครื่องไถนานี้ช่วงหลังมีคนมาหาซื้อในราคาสูงแต่ใน ชุมชนไม่เหลือแล้ว คิดว่าเราทุกคนที่เป็นชาวนาที่มานั่งร่วมพร้อมใจกันวันนี้ ให้ทำนากันตลอดไป อย่าขาย เพราะโจรลักไม่ได้ ไฟไม่กิน ยิ่งเก็บไว้ก็ยิ่งราคาสูง พ่อแม่เราลำบากบุกเบิกทำกันมา และคิดว่าทุกคนวันนี้จะทำนาตลอดไปจนชั่วชีวิตของเรา (แต่ลูกหลานนั้นไม่แน่ใจ) การขุดตอในพื้นที่บุกเบิกต้องฟันต้องขุดรากไม้ให้หมดเพราะควายจะเหยียบจะไถ ไม่ได้ยิ่งต้นสนเอาออกยากมาก ต้องทำกันทีละนิด บางทีทำกันเป็นปีก็ไม่ได้ทำนา เสร็จเมื่อใดก็ค่อยทำกัน ควายที่ใช้เหยียบมีแม่ฝูงและลูกควายอีกยี่สิบ ถ้าควายใครไม่พอก็ไปยืมของเพื่อนมา เมื่อก่อนตรงรีสอร์ทของดิค (ตั้งอยู่หมู่ที่ 1) ปลูกข้าวได้ดีมาก ใช้ควายฝูงเหยียบสองที ก็ทำนาได้
  คุณมานพ ช่วยอินทร์ บอกว่าเด็กรุ่นใหม่พูดว่าชายเราทำไมไม่ทำที่ดินให้ได้มากหวานี้ จะเห็นว่าคนแต่ก่อนกว่าจะทำมาได้ก็ด้วยความลำบาก แต่คนรุ่นใหม่แม้จะมีเครื่องมือทันสมัยแต่ไม่ได้ทำที่ดินให้เพิ่มขึ้นเลย คนแต่ก่อนใช้แรงมือแรงกายก็สร้างกันได้หลายไร่ แต่คนรุ่นใหม่นอกจากสร้างไม่ได้แล้ว ยังรักษาที่ดินบรรพบุรุษไม่ได้ด้วย แล้วถามชายนวลว่าเรื่องสารบัตรเป็นอย่างไร
  นายอล ไชยมล เล่าว่าเรื่องสารบัตรว่าเกิดขึ้นตอนชายยังเด็ก ช่วงหลังจากสงครามโลกครั้งที่2 มาแล้ว ตอนนั้นพ่อแม่ต้องออกไปหาข้าวสารจากอำเภอที่นอกเกาะ เพราะข้าวในเกาะที่ปลูกไม่พอกินเนื่องจากเป็นช่วงสงคราม การออกไปเอาข้าวสารต้องรอกันนาน แล้วก็ได้แค่สองถึงสามกิโล เอามาก็ไม่พอกินในครอบครัว ตอนนั้นลำบากเป็นอย่างมาก เมื่อรอรับที่อำเภอปะเหลียนไม่ได้ก็ต้องเดินทางต่อไปเอาที่เกาะเปียะกับญาติ พี่น้องที่รู้จักกัน แล้วข้าวที่ได้มาก็ต้องหุงหาอย่างประหยัดมีหัวมัน กล้วย ก็ใส่ลงไปให้ได้มากๆ จะได้พอกินสำหรับทุกคน หลังจากคราวนั้นทำให้ทุกคนเห็นว่าการทำนาเองเป็นสิ่งจำเป็น ทุกคนที่อดอยากหรือต้องกินอย่างประหยัดเริ่มเห็นว่าต้องทำนาให้มีข้าวพอกิน เอง จึงบุกเบิกการทำนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งรุ่นหลังๆ มามีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจมากขึ้นเริ่มมีการใช้ปุ๋ยเคมี จนผ่านมาหลายปีถึงปัจจุบันนี้การทำนาก็เริ่มลดน้อยลง

แลกเปลี่ยนเรื่องพันธุ์ข้าวของชุมชน
  กลุ่มชาวนาช่วยกันแลกเปลี่ยนว่าที่ผ่านมาใช้พันธุ์ข้าวอะไรกันบ้าง และเป็นอย่างไร พบว่าอดีตนั้นในชุมชนมีพันธุ์ข้าวที่ใช้มาหลายสายพันธุ์ได้แก่ ข้าวเบาร้อยวัน ข้าวเที่ยว ข้าวเบาหลวง ข้าวเบาขาว ข้าวเบามาเล ซึ่งพันธุ์เหล่านี้ไม่มีอีกแล้ว จากนั้นก็มีขาว กข.7 แต่เก็บเมล็ดพันธุ์หลายปีจนกลายพันธุ์ไปก็เลิกใช้  จากนั้นช่วงหลังมาก็มีข้าวสังกะหรี ข้าวราไว (เป็นข้าวแข็ง หุงขึ้นหม้อ ให้ผลผลิตดี) ข้าวเล็บนก ส่วนที่นิยมปลูกมากในตอนนี้คือ ข้าวพันธุ์ปทุม(เป็นข้าวนาโคก ชาวนาชอบกิน) ข้าวหอมมะลิ(ข้าวนาโคก นิยมกิน) ข้าวผอม(ข้าวนาลึก) ข้าวราชินี(ข้าวนาลึก เม็ดแข็ง) ข้าวอัลฮัม(ข้าวนาลึก เม็ดแข็ง)
  พันธุ์ข้าวที่ปลูกมีความหลากหลาย เนื่องจากลักษณะของพื้นที่นาของบ้านทุ่งและบ้านแหลมมีทั้งที่เป็นนาลึกและนา โคก(นาดอน) นาลึกส่วนใหญ่อยู่หมู่ที่ 3 นาโคกส่วนใหญ่อยู่หมู่ที่ 2 และการเลือกพันธุ์ข้าวยังขึ้นกับความชอบเมื่อนำมาหุงของแต่ละครัวเรือนหรือ แต่ละคนด้วย บางคนก็ปลูกสองถึงสามชนิดในครอบครัวเดียวกัน  แต่ตอนนี้พันธุ์ข้าวที่ปลูกและเก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์ปีต่อปีกันมาเริ่มด้อย คุณภาพลงมากแล้ว ทำให้ผลผลิตไม่ดีเท่าที่ควร  ดังนั้นชุมชนจึงต้องพัฒนาการทำนาให้สามารถจัดการคัดและเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าว ให้มีคุณภาพคงที่หรือดีกว่าเดิมให้ได้ เพราะหากทำไม่ได้ก็ต้องไปซื้อพันธุ์ข้าวจากที่อื่นทุกปีไป

สรุปปัญหาการทำนาของชาวเกาะสุกร
  - เมล็ดพันธุ์ข้าวที่เก็บมารุ่นต่อรุ่นเสื่อมคุณภาพลง ทำให้ข้าวที่ปลูกในปีหลังๆ ให้ผลผลิตน้อย
  - มีศัตรูพืชระบาด ได้แก่ หอยเชอรี่ และหนู มาทำลายต้นข้าว โดยเฉพาะหอยเชอรี่ซึ่งมีการขยายพันธุ์รวดเร็วกำจัดอย่างไรก็ไม่ลดลง และยังกัดกินข้าวอย่างรุนแรง บางแปลงกินจนหมดจนไม่ได้ผลผลิตเลยก็มี
  - คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยอยากทำนา เหลือแต่คนรุ่นเก่า หรือผู้สูงอายุที่ทำนากันอยู่ จึงกลัวว่าคนรุ่นหลังจะไม่ทำนาต่อ และอาจขายที่ดินให้แก่ผู้อื่นไป
  - ที่ดินบนเกาะมีราคาสูง ทำให้ชาวนาหลายคนขายที่ดินให้แก่นายทุน นายทุนซื้อแล้วก็ล้อมรั้วหนามทำให้พื้นที่ปล่อยเลี้ยงควายน้อยลง
  - การปล่อยควายไม่เป็นฤดูกาลจึงไปกัดกินพืชพันธุ์ของชาวบ้าน
  - การทำนาเปลี่ยนเป็นระบบการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น มีการใช้สารเคมีซึ่งอาจจะส่งผลต่อสุขภาพของผู้บริโภคได้

สรุปความรู้การทำนา
  - แรกเริ่มเดิมทีพื้นที่เกาะสุกรทำการบุกเบิกพื้นที่ทำนาด้วยแรงคนขุดต้นไม้ ออกแล้วใช้ควายฝูงปล่อยเหยียบนา การทำนาเป็นระบบอินทรีย์ใช้ขี้ค้างคาวชุบรากต้นกล้าก่อนปักดำ ก่อนทำนาก็ปล่อยควายไว้ให้ควายขี้ในนาเพื่อเป็นปุ๋ยเมื่อตอนปลูกข้าว สำหรับศัตรูพืชใช้น้ำของต้นสูบามารด  การทำนาต้องเอาใจใส่ดูแลนาตลอดการทำนา วิธีนี้ชายนวนบอกว่าเราจะได้มีข้าวที่ปลอดภัยไว้กินทำให้สุขภาพดีไปด้วย
  - แม้การบุกเบิกทำนาช่วงแรกของเกาะสุกรจะให้ผลผลิตไม่ดีนัก เนื่องจากได้ขุดเอาหน้าดินมาทำคันนาเสียแล้ว แต่หากใช้ขี้วัวขี้ควายบำรุงดินไปเรื่อยๆ ดินก็จะค่อยๆมีคุณภาพดีขึ้น ทำให้ปลูกข้าวให้งามได้ต่อไป และลดการใช้ปุ๋ยเคมีที่มีราคาสูงได้ แต่หากเอาแต่ใส่ปุ๋ยเคมีไปตลอดต่อไปดินก็จะเสื่อมสภาพเร็ว
  - การทำนาทำให้มีกินไม่อด  เมื่อเกิดวิกฤติอย่างเช่นช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก็สอนให้รู้ว่าถ้าสามารถ ทำนาเก็บข้าวไว้กินได้เอง ชุมชนก็อยู่รอดได้ เพราะอาหารสำคัญที่สุดเมื่อเกิดภัยพิบัติ 

สรุปสิ่งที่ต้องการดำเนินการ
  - ความรู้เรื่องพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมกับพื้นที่และรูปแบบการทำนาของชุมชนเกาะสุกร  รวมทั้งวิธีการคัดพันธุ์ การเก็บรักษา
  - ความรู้เรื่องการให้ผลผลิตและลักษณะของข้าวแต่ละสายพันธุ์
  - จัดตั้งศูนย์เมล็ดพันธุ์ของชุมชนเกาะสุกร  โดยต้องการรู้ว่าใครสามารถมาอบรมให้ความรู้และทำวิจัยร่วมกันได้บ้าง
  - เทคนิควิธีกำจัดหอยเชอรี่ และหนู ให้ได้ผล
  - ศึกษาดูงานเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้การทำนากับผู้มีประสบการณ์เกี่ยวกับปัญหา การทำนาของชุมชนดังที่กล่าวมา จะได้นำกลับมาปรับปรุงการทำนาต่อไป ให้การทำนาเกิดประสิทธิภาพและมีความยั่งยืนได้

กำหนดการและรายงานผล
ทำเนียบผู้เข้าร่วมกิจกรรม
สรุปผลกิจกรรม/บันทึกการทำงาน

ได้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการทำนา
ได้ข้อมูลปัญหาของชุมชน
ได้แนวทางการทำงานต่อ

"ขออภัย"
ยังไม่มีเนื้อหาข้อมูลในส่วนนี้
ภาพกิจกรรม
วิดีโอแนบ
ไฟล์แนบ